ฝูงสัตว์อันในกาลสูตตนรกนั้นยืนได้ 1,000 ปี ในนรกนั้น วัน 1 คืน 1 ในกาลสูตตนรกนั้นได้ 36,000,000 ปีในมนุษย์ 1,000 ปี ในนรกได้มหาปทุมปทุมประติทธ 12,960,000,000,000 ปี ในมนุษย์ ฯ ฝูงสัตว์อันเกดในสังฆาฏนรกนั้นยืนได้ 2,000 ปี ในสังฆาฏนรก วัน 1 คืน 1 ได้ 145,000,000 ปี ในมนุษย์ 2,000 ปี ในสัฆาฏนรกนั้นเป็นปีนั้นได้ 103,680,000,000,000 เป็นปีในมนุษย์แล ฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในโรรุพนรกยืนได้ 5,000 ปีในโรรุพนรก 1 คืน 1 ได้ 576,000,000 ปีในมนุษย์นี้ ทั้ง 4,000 ปีในโรรุพนรกนั้นได้ปี 823,450,000,000,000 ปีในมนุษย์เรานี้แล
ฝูงสัตว์อันเกิดในมหาโรรุพนรกนั้นยืนได้ 8,000 ปี ในนรกวัน 1 คืน 1 ในนรก นั้นได้ 230,500,000 ปีในมนุษย์นี้ ทั้ง 8,000 ปี ในนรกนั้นได้ 6,635,520,000,000,000 ปี ในมนุษย์เรานี้แล ฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในดาปนรกนั้นยืนได้ 16,000 ปีในนรก วัน 1 คืน 1 ในดาปนรกนั้นได้ 9,216,000,000 ปีในมนุษย์ ทั้ง 16,000 ปีในดาปนรก 53,084,160,000,000,000 ปีในมนุษย์เรานี้แล
ฝูงสัตว์อันเกิดในนรกอันชื่อว่มหาดาปนรกนั้นแล จะนับปีและเดือนอันเสวยทุกข์ในนรกนั้นบมิถ้วนย่อมนับด้วยกัลป 1 แล ฝูงนรกใหญ่ 8 อันนี้ย่อมเป็น 4 มุมและมีประตูอยู่ 4 ทิศ พื้นหนต่ำก้อนเหล็กแดงและฝาอันปิดเบื้องบนก้อนเหล็กแดง และนรกฝูงนั้นโดยกว่างและสูงเท่ากันเป็นจตุรัส และด้านละ 1,000 โยชน์ด้วยโยชน์ 8,000 วา โดยหนาทั้ง 4 ด้านก็ดี พื้นเบื้องต่ำก็ดี ฝาเบื้องบนก็ดี ย่อมหนาได้ละ 9 โยชน์ และนรกนั้นบ่มีที่เปล่าสักแห่ง เทียรย่อมฝูงสัตว์นรกทั้งหลายหากเบียดเสียดกันอยู่เต็มนรกนั้น และไฟนรกนั้นบมิดับเลยสักคาบแล ไหม้อยู่รอดชั่วต่อสิ้นกัลป์แล กรรมบาปคนฝูงนั้นหากไปเป็นไฟลุกในตัวตนนั้นเป็นฟืนลุกเองไหม้ไฟนั้นแลบมิแล้วสักคาบเพื่อดังนั้นแล นรกใหญ่ 8 อันนั้นมีนรกใหญ่อยู่รอบแล 16 อันอยู่ทุกอันแลอยู่ละด้าน 4 อันแล นรกบ่าว 4 นั้นฝูง ยังมีนรกเล็กน้อยอยู่รอบนั้นมากนักจะนับบ่มิถ้วนได้เลย ประดุจที่บ้าน ๆ นอกและในเมือง ๆ มนุษย์เรานี้แล (พระมหาธรรมราชาที่ 1(พญาลิไท),ไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถา, พิมพ์ครั้งที่ 8,กรุงเทพฯ:จักรานุกูลการพิมพ์,2543,หน้า 15.)
เกี่ยวกับเมืองสวรรค์ได้บรรยายไว้ว่า “แต่ชั้นฟ้าอันชื่อว่าจาตุมหาราชิกาขึ้นไปไกลได้ 336,000,000 วา จึงจะเถิงชั้นฟ้าอันชื่อว่าดาวดึงษานั้น ๆ ตั้งอยู่เหนือจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพต อันปรากฎเป็นเมืองพระอินทร์ผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลาย ในยอดเขาพระสิเนรุราชนั้นเป็นเมืองของพระอินทร์ โดยกว้างคณนาไว้ได้ 8,000,000 วา มีปรางคปราสาทแก้วเฉพาะซึ่งจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพต แลมีที่เล่นที่หัวสนุกนิ์นักหนาโสด แต่ประตูเมืองหลวงฝ่ายตระวันออกเมืองแห่งสมเด็จอมรินทราธิราชไปเถิงประตูเมืองฝ่ายตระวันตกโดยไกลได้ 8,000,000 วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบมีประตูรอบนั้นได้ 1000 หนึ่ง แลมียอดปราสาทอันมุงเหนือประตูนั้นทุกประตู เทียรย่อมทองแลประดับนิ์ด้วยแก้ว 7 ประการ แต่ตีนประตูขึ้นไปเถิงยอดปราสาทนั้นสูงได้ 250,000 วา แลเมื่อเผยประตูนั้นได้ยินเสียงสรรพไพเราะนักแลเทพยดาทั้งหลายอยู่ในนครดาวดึงษ์นั้นย่อมได้ยินเสียงช้วแก้วแลราชรถแก้วอันดังไพเราะถูกเนื้อพึงใจนักหนาที่ในท่ามกลางนครไตรตรึงษ์นั้น มีไพชยนตปราสาทโดยสูงได้ 25,600,000 วา ปราสาทนั้นงามนักงามหนาเทียรย่อมแก้วสัตตพิธรัตนทั้งหลายโดยสูงได้ 2,400,000 วา เทียรย่อมสัตตพิธรัตนรุ่งเรืองงามพ้นประมาณถวายแก่พระอินทร์ผู้เป็นเจ้าไพชยนตปราสาทนั้นแลฯ (ไตรภูมิพระร่วง,หน้า 207)
ในเรื่องสวรรค์ได้พรรณนาถึงเทพยดาที่กำเนิดในสวรรค์ไว้ว่า ทีนี้จะพรรณนาเถิงฝูงเทพยดาอันเกิดในกามาพจรภูมิโลกย์แล อันว่าเทพยดามี 3 จำพวกคือสมมุติเทวดา อุปปัติเทวดาและวิสุทธิเทวดา(ไตรภูมิพระร่วง,หน้า 202)
นอจากนั้นยังได้พรรณนาถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันที่ที่ประทับของพระอินทร์ไว้ว่า แต่ชั้นฟ้าอันชื่อว่าจาตุมหาราชิกาขึ้นไปได้ไกล 336,000,000วา จึงจะเถิงชั้นฟ้าอันชื่อว่าดาวดึงษา ตั้งอยู่เหนือจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพต อันปรากฏเป็นเมืองพระอินทร์ผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลาย ในยอดเขาสิเนรุราชนั้นโดยกว้างคณานาไว้ได้ 8,000,000 วา มีปรางค์ ปราสาท แก้วเฉพาะซึ่งจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพตแลมีที่เล่นที่หัวสนุกนักหนาโสด แต่ประตูเมืองหลวงฝ่ายตะวันออกไปเถิงประตูเมืองฝ่ายตะวันตกโดยไกลได้ 8,000,000วา แต่ประตูเมืองหลวงฝ่ายข้างทักษิณทิศไปเถิงประตูเมืองฝ่ายข้างอุดรทิศโดยไกลได้ 8,000,000 วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบนั้นได้ 1,000หนึ่ง แลมียอดปราสาทอันมุงเหนือประตูนั้นทุกประตู เทียรย่อมทองแลประดับด้วยแก้วทั้ง 7ประการ(ไตรภูมิพระร่วง,หน้า 202)
ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ที่มาจากหนังสือไตรภูมิมีอิทธิพลต่อสังคมนอกจากจะได้รับการจารลงในใบลานแล้ว ยังเขียนไว้ในจิตรกรรมฝาผนังดังหลักฐานยืนยันว่า “เรื่องไตรภูมิเป็นเรื่องที่นับถือกันแพร่หลายมาแต่โบราณถึงคิดขึ้นเป็นรูปภาพเขียนไว้ตามผนังวัด และเขียนจำลองลงไว้ในสมุด มีมาแต่ครั้งกรุงเก่ายังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ (ไตรภูมิพระร่วง,หน้า 207)
เมื่อนำแนวคิดเรื่องเทพภพภูมิมาใช้ในพุทธศิลป์ เราจึงเห็นได้หลายด้านพุทธศิลป์ในประเทศไทยที่พบครั้งแรกเป็นจิตรกรรมในสมัยทวารวดีซึ่งเป็นการเริ่มต้นสร้างภาพเกี่ยวกับศาสนาเท่านั้น เป็นเพียงภาพสลักบนแผ่นหินเป็นรูปผู้ชายกำลังนั่ง สลักตามความจริงอย่างหยาบๆ ไม่มีความสัมพันธ์กับภาพสลักลายเส้นหรือจิตรกรรมฝาผนังสมัยต่อมาเลย พุทธศิลป์ในประเทศไทยในยุคทวารวดี(ราวพุทธศตวรรตที่ 12) ส่วนมากจึงเป็นประติมากรรมคือพระพุทธรูปที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธรูปแบบคุปตะและหลังคุปตะ (วิบูลย์ ลี้สุวรรณ,ศิลปะในประเทศไทย,กรุงเทพฯ:ศูนย์หนังสือลาดพร้าว,2548, หน้า 26.)
แนวคิดเรื่องเทพและภพภูมิที่ปรากฏในพระไตรปิฏกและเตภูมิกถา แม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่การพรรณารายละเอียด เตภูมิกถาได้พรรณาไว้อย่างละเอียดเมื่อนำมาใช้ในงานพุทธศิลป์ที่นิยมมากที่สุดคืองานด้านจิตรกรรมฝาผนัง งานจิตรกรรมที่ปรากฏในวัดต่างๆ มีหลายประเภทเช่นเรื่องราวจากชาดก พุทธประวัติ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา วิถีชีวิต ไตรภูมิ และวัฒนธรรมประเพณี จะเขียนไว้ตามฝาผนังพระอุโบสถ พระวิหาร หรือภายในองค์พระเจดีย์เป็นต้น มีลักษณะพิเศษในการจัดวางภาพแบบเล่าเรื่องเป็นตอนๆตามผนังช่องหน้าต่างโดยรอบพระอุโบสถและวิหาร ผนังด้านหน้าพระประธานส่วนใหญ่นิยมเขียนภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ และผนังด้านหลังพระประธานเขียนภาพพุทธประวัติตอนเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และบางแห่งเขียนภาพไตรภูมิ (ประเสริฐ ศีลรัตนา, สุนทรียะทางทัศนศิลป์, กรุงเทพ ฯ :สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2542,หน้า 120.)