ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

              การเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้รับการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยมาโดยตลอด ในยุคที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น เมื่อใครอยากรู้เรื่องพระพุทธศาสนาก็ต้องเดินทางไปฟังจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเองหรือจากปากของพระสงฆ์รูปอื่นๆ จากนั้นมาก็มีการเขียนภาพตามถ้ำต่างๆ ในยุคต่อมาได้มีการจารึกเป็นตัวอักษรลงในใบลาน ทำให้ง่ายต่อการศึกษาคือหาอ่านได้ เมื่อมีการพิมพ์เป็นหนังสือก็ยิ่งง่ายต่อการศึกษา พอมาถึงยุคปัจจุบันพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายในโลกอินเทอร์เน็ต ประเทศไทยก่อนที่จะมีการพิมพ์หนังสือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สำคัญอย่างหนึ่งคือจิตรกรรมฝาผนัง 
             พระพุทธศาสนามีเรื่องเล่าที่เกี่ยวเนื่องกับโลกอื่น เป็นภพภูมิของสัตว์เหล่าอื่น บางครั้งเอื้อต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา บางครั้งอาจทำให้คนที่มีแต่ศรัทธาโดยไม่ได้พึ่งพิงปัญญาหลงทางได้ง่ายๆ การอธิบายภพภูมินั้น ในอดีตบุรพาจารย์สามารถเล่าเรื่องผ่านงานศิลปะเช่นจิตรกรรม ประติมากรรม เป็นต้น และคนในยุคนั้นก็สามารถเสพได้ทั้งความงามและคติธรรมที่แฝงเร้นอยู่ในงานศิลปะนั้นๆ  ศิลป์จึงเป็นเหมือนคลังในการเก็บสุนทรีย์และเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆกัน
              คำว่า "ศิลปะ" หมายถึงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากชีวิตจิตใจ ความรู้ความสามารถและความชำนาญของตน แล้วถ่ายทอดความเข้าใจอันลึกซึ้งเหล่านั้นออกมาเป็นผลงานที่มีความงดงามและทรงคุณค่าแก่มหาชน ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตให้คำนิยามไว้ว่า “การประดับ ฝีมือทางการช่าง การแสดงออกให้เห็นถึงอารมณ์และสะเทือนใจ"  (ราชบัณฑิตยสถาน,พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525,(พิมพ์ครั้งที่ 4), กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสภา ,2525,หน้า 771)  

              สิ่งที่สร้างขึ้นจากศิลปะเรียกว่าศิลปกรรมแบ่งออกเป็นห้าประเภทคือ(1)สถาปัตยกรรม การสร้างอาคารสถานที่ อนุสาวรีย์โบสถ์วิหาร (2)ประติมากรรม การปั้น การแกะสลัก การหล่อรูป (3)จิตรกรรม การวาด การเขียนภาพ การระบายสีภาพ (4) ดุริยางคศิลป์ การขับร้อง ฟ้อนรำ นาฏศิลป์ ดนตรีไทย (5) ภาษาและวรรณคดี (วาสนา บุญสม,ศิลปวัฒนธรรมไทยสายใยจากอดีต, กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์ปิรามิด,2548,หน้า 8.)
             พุทธศิลป์จึงหมายถึงศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามีทั้งสถาปัตยกรรมคือโบสถ์วิหาร ประติมากรรมคือพระพุทธรูป จิตรกรรมคือภาพเขียน และภาษาและวรรณคดีที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา 
              เทพและภพภูมิมีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพุทธศิลป์อย่างแยกไม่ออก คำว่าเทพนั้นในพระพุทธศาสนาได้จำแนกไว้สามประเภทดังที่ปรากฏในขุทกนิกาย จูฬนิเทสว่า“เทพมีสามคือสมมติเทพ  อุปบัติเทพ  วิสุทธิเทพ   สมมติเทพเป็นไฉน พระราชา พระราช  กุมารและพระเทวี เรียกว่า สมมติเทพ  อุปบัติเทพเป็นไฉน เทวดาชาวจาตุมหาราชิกา เทวดาชาวดาวดึงส์ เทวดาชาวยามา  เทวดาชาวดุสิต เทวดาชาวนิมมานรดี เทวดาชาวปรนิมมิตวสวัตดี เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหมและเทวดาในชั้นที่สูงกว่า เรียกว่าอุปบัติเทพ  วิสุทธิเทพเป็นไฉน พระอรหันตขีณาสพสาวกของพระตถาคต และพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า เรียกว่า วิสุทธิเทพ (ขุ.จู 30/214/85.) 

              ส่วนภพนั้นท่านระบุไว้ในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ว่า ภพมีสามคือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ (ม.มู.122/498382.) 
              ภูมิพระพุทธศาสนาจำแนกเป็นสี่ภูมิดังที่ปรากฏในขุททกนิกาย ปาฏิกวรรคว่า “ภูมิ 4 คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ โลกุตรภูมิ  ก็กามาวจรภูมิเป็นไฉน ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา  สัญญา สังขาร วิญญาณ อันท่องเที่ยว คือ นับเนื่องในโอกาสนี้ ข้างล่างตลอดไปจนถึงอเวจีนรกเป็นที่สุด ข้างบนขึ้นไปจนถึงเทวดาชาวปรนิมมิตวสวดีเป็นที่สุดนี้เป็นกามาวจรภูมิ  รูปาวจรภูมิเป็นไฉน ธรรม คือ จิตและเจตสิกของบุคคล ผู้เข้าสมาบัติ ของบุคคลผู้เกิดในพรหมโลก หรือของท่านผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน อันท่องเที่ยวคือ นับเนื่องโอกาสนี้ ข้างล่างตั้งแต่พรหมโลกขึ้นไปจนถึงเทวดาชั้นอกนิฏฐ์ข้างบนเป็นที่สุด นี้ชื่อว่ารูปาวจรภูมิ  อรูปาวจรภูมิเป็นไฉน ธรรม คือ จิตและเจตสิกของบุคคลผู้เข้าสมาบัติ ของบุคคลผู้เกิดในพรหมโลก หรือของท่านผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน อันนับเนื่องในโอกาสนี้ ข้างล่างตั้งแต่เทวดาผู้เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนภพ ตลอดขึ้นไปจนถึงเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพข้างบนเป็นที่สุด นี้ชื่อว่าอรูปาวจรภูมิ  โลกุตรภูมิเป็นไฉน มรรค ผล และนิพพานธาตุอันปัจจัยไม่ปรุงแต่ง อันเป็นโลกุตระ นี้ชื่อว่าโลกุตรภูมิ ภูมิ 4 เหล่านี้ (ขุ.ปฏิ.31/171-175/66.)

              ในกามาวจรภูมิยังแบ่งย่อยออกไปได้อีกศิลปินได้นำแนวคิดเรื่องภพภูมิมาใช้งานพุทธศิลป์ที่นิยมมากคือเรื่องเกี่ยวกับนรกสวรรค์เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สอนคนได้ง่าย โดยเฉพาะเรื่องนรกสวรรค์มีปรากฏในพระไตรปิฎกหลายแห่ง ท่านแสดงนรกไว้แปดขุมว่า นรชนผู้ประพฤติอธรรม มีความ     เป็นอยู่ไม่สม่ำเสมอ  ละโลกนี้แล้วย่อมไปสู่คติใด อาตมภาพจะกล่าวคติ คือนรกเหล่านั้น ขอพระองค์ทรงสดับอาตมภาพเถิด นรก 8   ขุมนี้ คือ สัญชีวนรก   กาฬสุตตนรก   สังฆาตนรก   โรรุวนรก   มหาโรรุวนรก   ต่อมาถึงมหาอเวจีนรก   ตาปนนรก     ปตาปนนรก   อันบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้แล้ว ก้าวล่วงได้ยากเกลื่อนกล่นไปด้วยเหล่าสัตว์ ผู้มีกรรมหยาบช้าเฉพาะขุมหนึ่งๆ มีอุสสทนรก 16 ขุมเป็นที่ทำบุคคลผู้กระด้างให้เร่าร้อน น่ากลัว มีเปลวเพลิงรุ่งโรจน์ มีภัยใหญ่ขนลุกขนพอง น่าสพึงกลัว มีภัยรอบข้าง เป็นทุกข์ มี 4 มุม 4 ประตู จัดแบ่งไว้เป็นส่วนๆ มีกำแพงเหล็กกั้นโดยรอบมีฝาเหล็กครอบ ภาคพื้นของนรกเหล่านั้นล้วนแต่เหล็กแดงลุก โพลง ประกอบด้วยเปลวไฟ แผ่ไปตลอด 100 โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ สัตว์ทั้งหลายมีเท้าในเบื้องบน มีศีรษะในเบื้องต่ำ ตกลงไปในนรกนั้น (ขุ.ชา  28/92/25.)   


              พุทธศิลป์ในยุคแรกๆ จึงไม่มีแนวคิดเรื่องเทพและภพภูมิเข้าไปเกี่ยวข้องในงานศิลปะ จนกระทั่งราวพุทธศตวรรตที่ 18 พระมหาธรรมราชาลิไทได้ประพันธ์วรรณกรรมเรื่องเตภูมิกถา ได้พรรณาเรื่องภพภูมิไว้อย่างละเอียดดังข้อความตอนหนึ่งว่า อันว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมจะเวียนวนไปมา  และเกิดในภูมิ 3  อันนี้แล ฯ  อันใดแลชื่อภูมิ  3  อันนั้นเล่า  อนึ่งชื่อว่ากามภูมิ  อนึ่งชื่อว่ารูปภูมิ  อนึ่งชื่อว่าอรูปภูมิ  ณ กามภูมินั้นยังอันเป็นประเภท  11  อันใดโสด  อนึ่งชื่อว่านรกภูมิ  อนึ่งชื่อว่าเปรตวิสัยภูมิ  อันหนึ่งชื่อว่าสูรกายภูมิ  4  อนึ่งชื่อว่าอบายภูมิก็ว่า  ชื่อทุคติภูมิก็ว่า ฯ  อนึ่งชื่ออนุสสภูมิ  อนึ่งชื่อตาวติงษภูมิ  อนึ่งชื่อยามาภูมิ  อนึ่งชื่อตุสิตาภูมิ  อนึ่งชื่อนิมมานรดีภูมิ  อนึ่งชื่อปรมิตวสวัตติภูมิ  7  อนึ่งชื่อสุคติภูมิผสมภูมิทั้ง  11  แห่งนี้ชื่อกามภูมิแล ฯ  ในรูปภูมินั้นยังมีภูมิอันเป็นประเภท  16  อนึ่งโสด  อนึ่งชื่อพรหมปาริสสัชชาภูมิ  และพรหม  3  อันนี้ชื่อปฐมฌานภูมิแล ฯ  อนึ่งชื่อปริตตาภาภูมิ  อนึ่งชื่อกัปปมานาภาภูมิ  อนึ่งชื่ออาภัสสราภูมิ  และพรหม  3  ชั้นนี้ชื่อว่าทุติยฌานภูมิแล ฯ  อนึ่งชื่อปริตตสุภาภูมิ  อนึ่งชื่ออัปปมานสุภาภูมิ  อนึ่งชื่อสุภกิณหภูมิและพรหม  3  ชั้นนี้ชื่อตติยฌานภูมิแล ฯ  อนึ่งชื่อเวหับผลาภูมิ  ชื่อว่าอสัญญิสัตตาภูมิ  อนึ่งชื่ออเวหาภูมิ  อนึ่งชื่อตัปปาภูมิ  อนึ่งชื่อทัสสาภูมิ  อนึ่งชื่อสุทัสสีภูมิ  อนึ่งชื่ออกนิฏฐาภูมิ  7  ชั้นนี้ชื่อจตุตถฌานภูมิแล ฯ  แต่อเวหาภูมินี้เถิงอกนิฏฐาภูมิ  5  ชั้นนี้ชื่อปัญจสุทธาวาศแล ฯ  ผสมทั้ง  16  ชั้นนี้ชื่อรูปภูมิแล ฯ  และในอรูปภูมินั้นยังมีประเภททั้ง  4  อันโสด  อนึ่งชื่ออากาสานัญจายตนภูมิ  อนึ่งชื่อวิญญาณญจายตนภูมิ  อนึ่งชื่ออากิญจัญญายตนภูมิ  อนึ่งชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิแล ฯ  จึงผสมภูมิทั้งหลายนี้ได้  31  จึงชื่อว่าไตรภูมิแล (พระมหาธรรมราชาที่ 1(พญาลิไท),ไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถา, พิมพ์ครั้งที่ 8,กรุงเทพฯ:จักรานุกูลการพิมพ์,2543,หน้า 1.)

              เมื่อหนังสือเตภูมิกถาหรือไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วงได้อธิบายเรื่องภพภูมิไว้อย่าละเอียดโดยให้ความสำคัญกับนรกภูมิ ติรัจฉานภูมิ อสุรกายภูมิและมนุสสภูมิเป็นพิเศษเช่นการพรรณานรกภูมิตอนหนึ่งว่า “ฝูงสัตว์ทั้งหลายอันได้กระทำบาปด้วยปากด้วยใจดังกล่าวแล้วนี้  ย่อมได้ไปเกิดในจตุราบายมีอาทิคือนรกใหญ่  8  ขุมนั้น ฯ  สัญ์ชีโวกาล  สุต์โตจ  สังฆาโฏ  โรรุโว  ตถา  มหาโรรุวตาโปจ  มหาตาโปจาติ  วีจิโย ฯ  อนึ่งชื่อสัญชีพนรก  อนึ่งชื่อกาลสูตตนรก  อนึ่งชื่อมหาดาปนรก  อนึ่งชื่อสังฆาฏนรก  อนึ่งชื่อโรรุพนรก  อนึ่งชื่อดาปนรก  อนึ่งชื่อมหาอวิจีนรก  ฝูงนรกใหญ่  8  อันนี้อยู่ใต้แผ่นดินอันเราอยู่นี้และถัดกันลงไป  และนรกอันชื่อว่าอวิจีนรกนั้นอยู่ใต้นรกทั้งหลาย  และนรกอันชื่อว่าสัญชีพนรกนั้นอยู่นรกทั้ง  7  อันนั้น  ฝูงสัตว์อันเกิดในนรกอันชื่อว่าสัญชีพนรกนั้นยืนได้  500  ปีด้วยปีในนรก  และเป็นวัน  1  คืน  1  ในนรกได้  9  ล้านปีในเมืองมนุษย์นี้  500  ปี  ในสัญชีพนรกได้ล้าน  6  แสนล้านหยิบหมื่นปีในเมืองคนนี้  1,620,000,000,000  ปี 
   
        
      ฝูงสัตว์อันในกาลสูตตนรกนั้นยืนได้  1,000  ปี  ในนรกนั้น  วัน  1  คืน  1  ในกาลสูตตนรกนั้นได้  36,000,000  ปีในมนุษย์  1,000  ปี  ในนรกได้มหาปทุมปทุมประติทธ  12,960,000,000,000  ปี  ในมนุษย์ ฯ  ฝูงสัตว์อันเกดในสังฆาฏนรกนั้นยืนได้  2,000  ปี  ในสังฆาฏนรก  วัน  1  คืน  1  ได้  145,000,000  ปี  ในมนุษย์  2,000  ปี  ในสัฆาฏนรกนั้นเป็นปีนั้นได้  103,680,000,000,000  เป็นปีในมนุษย์แล ฯ  ฝูงสัตว์อันเกิดในโรรุพนรกยืนได้  5,000  ปีในโรรุพนรก  1  คืน  1  ได้  576,000,000  ปีในมนุษย์นี้  ทั้ง  4,000  ปีในโรรุพนรกนั้นได้ปี  823,450,000,000,000  ปีในมนุษย์เรานี้แล    
              ฝูงสัตว์อันเกิดในมหาโรรุพนรกนั้นยืนได้  8,000  ปี  ในนรกวัน  1  คืน  1  ในนรก  นั้นได้  230,500,000  ปีในมนุษย์นี้  ทั้ง  8,000  ปี  ในนรกนั้นได้  6,635,520,000,000,000  ปี  ในมนุษย์เรานี้แล ฯ  ฝูงสัตว์อันเกิดในดาปนรกนั้นยืนได้  16,000  ปีในนรก  วัน  1  คืน  1  ในดาปนรกนั้นได้  9,216,000,000 ปีในมนุษย์  ทั้ง  16,000  ปีในดาปนรก  53,084,160,000,000,000  ปีในมนุษย์เรานี้แล   

              ฝูงสัตว์อันเกิดในนรกอันชื่อว่มหาดาปนรกนั้นแล  จะนับปีและเดือนอันเสวยทุกข์ในนรกนั้นบมิถ้วนย่อมนับด้วยกัลป  1  แล  ฝูงนรกใหญ่  8  อันนี้ย่อมเป็น  4  มุมและมีประตูอยู่  4  ทิศ  พื้นหนต่ำก้อนเหล็กแดงและฝาอันปิดเบื้องบนก้อนเหล็กแดง  และนรกฝูงนั้นโดยกว่างและสูงเท่ากันเป็นจตุรัส  และด้านละ  1,000  โยชน์ด้วยโยชน์  8,000  วา  โดยหนาทั้ง  4  ด้านก็ดี  พื้นเบื้องต่ำก็ดี  ฝาเบื้องบนก็ดี  ย่อมหนาได้ละ  9 โยชน์  และนรกนั้นบ่มีที่เปล่าสักแห่ง  เทียรย่อมฝูงสัตว์นรกทั้งหลายหากเบียดเสียดกันอยู่เต็มนรกนั้น  และไฟนรกนั้นบมิดับเลยสักคาบแล  ไหม้อยู่รอดชั่วต่อสิ้นกัลป์แล  กรรมบาปคนฝูงนั้นหากไปเป็นไฟลุกในตัวตนนั้นเป็นฟืนลุกเองไหม้ไฟนั้นแลบมิแล้วสักคาบเพื่อดังนั้นแล  นรกใหญ่  8  อันนั้นมีนรกใหญ่อยู่รอบแล  16  อันอยู่ทุกอันแลอยู่ละด้าน  4  อันแล  นรกบ่าว  4  นั้นฝูง  ยังมีนรกเล็กน้อยอยู่รอบนั้นมากนักจะนับบ่มิถ้วนได้เลย  ประดุจที่บ้าน  ๆ  นอกและในเมือง ๆ  มนุษย์เรานี้แล (พระมหาธรรมราชาที่ 1(พญาลิไท),ไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถา, พิมพ์ครั้งที่ 8,กรุงเทพฯ:จักรานุกูลการพิมพ์,2543,หน้า 15.) 
              เกี่ยวกับเมืองสวรรค์ได้บรรยายไว้ว่า “แต่ชั้นฟ้าอันชื่อว่าจาตุมหาราชิกาขึ้นไปไกลได้ 336,000,000 วา จึงจะเถิงชั้นฟ้าอันชื่อว่าดาวดึงษานั้น ๆ  ตั้งอยู่เหนือจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพต อันปรากฎเป็นเมืองพระอินทร์ผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลาย ในยอดเขาพระสิเนรุราชนั้นเป็นเมืองของพระอินทร์ โดยกว้างคณนาไว้ได้ 8,000,000 วา มีปรางคปราสาทแก้วเฉพาะซึ่งจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพต แลมีที่เล่นที่หัวสนุกนิ์นักหนาโสด แต่ประตูเมืองหลวงฝ่ายตระวันออกเมืองแห่งสมเด็จอมรินทราธิราชไปเถิงประตูเมืองฝ่ายตระวันตกโดยไกลได้ 8,000,000 วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบมีประตูรอบนั้นได้ 1000 หนึ่ง แลมียอดปราสาทอันมุงเหนือประตูนั้นทุกประตู เทียรย่อมทองแลประดับนิ์ด้วยแก้ว 7 ประการ แต่ตีนประตูขึ้นไปเถิงยอดปราสาทนั้นสูงได้ 250,000 วา แลเมื่อเผยประตูนั้นได้ยินเสียงสรรพไพเราะนักแลเทพยดาทั้งหลายอยู่ในนครดาวดึงษ์นั้นย่อมได้ยินเสียงช้วแก้วแลราชรถแก้วอันดังไพเราะถูกเนื้อพึงใจนักหนาที่ในท่ามกลางนครไตรตรึงษ์นั้น มีไพชยนตปราสาทโดยสูงได้ 25,600,000 วา ปราสาทนั้นงามนักงามหนาเทียรย่อมแก้วสัตตพิธรัตนทั้งหลายโดยสูงได้ 2,400,000 วา เทียรย่อมสัตตพิธรัตนรุ่งเรืองงามพ้นประมาณถวายแก่พระอินทร์ผู้เป็นเจ้าไพชยนตปราสาทนั้นแลฯ (ไตรภูมิพระร่วง,หน้า 207)


              ในเรื่องสวรรค์ได้พรรณนาถึงเทพยดาที่กำเนิดในสวรรค์ไว้ว่า ทีนี้จะพรรณนาเถิงฝูงเทพยดาอันเกิดในกามาพจรภูมิโลกย์แล อันว่าเทพยดามี 3 จำพวกคือสมมุติเทวดา อุปปัติเทวดาและวิสุทธิเทวดา(ไตรภูมิพระร่วง,หน้า 202) 
              นอจากนั้นยังได้พรรณนาถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันที่ที่ประทับของพระอินทร์ไว้ว่า  แต่ชั้นฟ้าอันชื่อว่าจาตุมหาราชิกาขึ้นไปได้ไกล 336,000,000วา จึงจะเถิงชั้นฟ้าอันชื่อว่าดาวดึงษา ตั้งอยู่เหนือจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพต อันปรากฏเป็นเมืองพระอินทร์ผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลาย  ในยอดเขาสิเนรุราชนั้นโดยกว้างคณานาไว้ได้ 8,000,000 วา มีปรางค์ ปราสาท แก้วเฉพาะซึ่งจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพตแลมีที่เล่นที่หัวสนุกนักหนาโสด แต่ประตูเมืองหลวงฝ่ายตะวันออกไปเถิงประตูเมืองฝ่ายตะวันตกโดยไกลได้ 8,000,000วา แต่ประตูเมืองหลวงฝ่ายข้างทักษิณทิศไปเถิงประตูเมืองฝ่ายข้างอุดรทิศโดยไกลได้ 8,000,000 วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบนั้นได้ 1,000หนึ่ง แลมียอดปราสาทอันมุงเหนือประตูนั้นทุกประตู เทียรย่อมทองแลประดับด้วยแก้วทั้ง 7ประการ(ไตรภูมิพระร่วง,หน้า 202)

              ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ที่มาจากหนังสือไตรภูมิมีอิทธิพลต่อสังคมนอกจากจะได้รับการจารลงในใบลานแล้ว ยังเขียนไว้ในจิตรกรรมฝาผนังดังหลักฐานยืนยันว่า “เรื่องไตรภูมิเป็นเรื่องที่นับถือกันแพร่หลายมาแต่โบราณถึงคิดขึ้นเป็นรูปภาพเขียนไว้ตามผนังวัด  และเขียนจำลองลงไว้ในสมุด มีมาแต่ครั้งกรุงเก่ายังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ (ไตรภูมิพระร่วง,หน้า 207)
              เมื่อนำแนวคิดเรื่องเทพภพภูมิมาใช้ในพุทธศิลป์ เราจึงเห็นได้หลายด้านพุทธศิลป์ในประเทศไทยที่พบครั้งแรกเป็นจิตรกรรมในสมัยทวารวดีซึ่งเป็นการเริ่มต้นสร้างภาพเกี่ยวกับศาสนาเท่านั้น เป็นเพียงภาพสลักบนแผ่นหินเป็นรูปผู้ชายกำลังนั่ง สลักตามความจริงอย่างหยาบๆ ไม่มีความสัมพันธ์กับภาพสลักลายเส้นหรือจิตรกรรมฝาผนังสมัยต่อมาเลย พุทธศิลป์ในประเทศไทยในยุคทวารวดี(ราวพุทธศตวรรตที่ 12) ส่วนมากจึงเป็นประติมากรรมคือพระพุทธรูปที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธรูปแบบคุปตะและหลังคุปตะ (วิบูลย์  ลี้สุวรรณ,ศิลปะในประเทศไทย,กรุงเทพฯ:ศูนย์หนังสือลาดพร้าว,2548, หน้า 26.) 

              แนวคิดเรื่องเทพและภพภูมิที่ปรากฏในพระไตรปิฏกและเตภูมิกถา แม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่การพรรณารายละเอียด เตภูมิกถาได้พรรณาไว้อย่างละเอียดเมื่อนำมาใช้ในงานพุทธศิลป์ที่นิยมมากที่สุดคืองานด้านจิตรกรรมฝาผนัง งานจิตรกรรมที่ปรากฏในวัดต่างๆ มีหลายประเภทเช่นเรื่องราวจากชาดก  พุทธประวัติ  พระโพธิสัตว์  การบำเพ็ญตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา  วิถีชีวิต  ไตรภูมิ  และวัฒนธรรมประเพณี  จะเขียนไว้ตามฝาผนังพระอุโบสถ พระวิหาร หรือภายในองค์พระเจดีย์เป็นต้น  มีลักษณะพิเศษในการจัดวางภาพแบบเล่าเรื่องเป็นตอนๆตามผนังช่องหน้าต่างโดยรอบพระอุโบสถและวิหาร ผนังด้านหน้าพระประธานส่วนใหญ่นิยมเขียนภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ และผนังด้านหลังพระประธานเขียนภาพพุทธประวัติตอนเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และบางแห่งเขียนภาพไตรภูมิ (ประเสริฐ  ศีลรัตนา, สุนทรียะทางทัศนศิลป์, กรุงเทพ  ฯ :สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2542,หน้า 120.)  

            
ภาพจิตรกรรมที่แสดงถึงพุทธศิลป์โดยนำเสนอแนวคิดเรื่องเทพและภพภูมินั้นมีตัวอย่างเช่นจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม เป็นภาพพุทธประวัติ ภาพชุดนรก และภาพทศชาติ จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดทองนพคุณ เป็นเรื่องพระเวสสันดรชาดก จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดทองธรรมชาติ เป็นภาพเรื่องพระพุทธประวัติ เริ่มตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าประสูติ จนถึงหลังการปรินิพพาน 218 ปี แทรกความหมาย ที่เป็นปรัชญาและพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนา ภาพเขียนเรื่องไตรภูมิและภาพปางมารผจญ ที่วัดอินทาราม จังหวัดชลบุรี, วัดดุสิตาราม ธนบุรี, วัดสุวรรณาราม ธนบุรี และวัดสุทัศน์เทพวราราม พระนคร ยังคงรักษาคุณลักษณ์อันงดงามดั้งเดิมของตนไว้ ในขณะที่ภาพอื่นๆ ซึ่งอยู่ระหว่างช่องหน้าต่างได้สูญเสียไปเพราะถูกซ่อมแซมใหม่  สำหรับภาพเรื่องไตรภูมิส่วนที่น่าสนใจที่สุดก็คือ เมืองนรก ณ ที่นี้ช่างเขียนได้ใช้ความนึกคิดส่วนตัวของเขาแสดงภาพการลงโทษทุกชนิดแก่ผู้กระทำบาป และผู้กระทำบาปส่วนมากก็จะหันหน้าไปยังพระมาลัยและกระทำการเคารพเพื่อจะขอให้หลุดพ้นจากทุกขเวทนา ภาพเรื่อง ไตรภูมินี้มีเขียนอยู่เกือบทุกวัดที่มีจิตรกรรมฝาผนัง แต่ก็ไม่มีแห่งใดเลยที่ภาพเมืองนรกจะได้รับการวาดขึ้นอย่างน่ากลัว และให้ความรู้มากเท่ากับที่วัดดุสิตาราม (ศิลป์ พีระศรี,  “วิวัฒนาการแห่งจิตรกรรมฝาผนังของไทย”,ศิลปะวิชาการ, กรุงเทพฯ: มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์  พีรศรี,2546,หน้า 212.)

 

              จิตรกรรมที่นำเสนอพุทธประวัติมักจะมีเทพเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอดังเช่นจิตรกรรมฝาผนังอุโบสถวัดสุวรรณาราม กรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่สามเป็นตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์ทรงผนวช ทรงตัดพระเกศาท่ามกลางเหล่าเทวดา นายฉันนะในท่าโศกซบหลังม้ากัณฑกะ โดยมีพระอินทร์ในท่าเหาะเพื่อรออัญเชิญพระเกศาขึ้นไปประดิษฐานในพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (สันติ  เล็กสุขุม,จิตรกรรมไทยสมัยรัชกาลที่๓ ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม,กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ,๒๕๔๘, หน้า ๙๐.)
              ส่วนที่ฝาผนังหอไตรวัดระฆังโฆษิตาราม สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นประวัติของพระอินทร์ มีฉากหญิงบรรดาภรรยาของมฆมานพในคราวสร้างศาลาที่พักคนเดินทางอันเป็นงานบุญกุศล (จิตรกรรมไทยสมัยรัชกาลที่๓ ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม, หน้า 71)  เทพที่ปรากฏในงานพุทธศิลป์ที่มากที่สุดคือพระอินทร์ มีปรากฏแทบทุกแห่งในงานจิตรกรรม อาจต่างกรรมต่างวาระกันบ้าง

              พุทธศิลป์ในงานด้านอื่นๆมีแนวคิดเกี่ยวกับเทพและภพภูมิแทรกอยู่บ้างเช่นในงานสถาปัตยกรรมก็ได้กลายเป็นจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิ ซึ่งได้ถูกสะท้อนลงในหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการวางผัง การสร้างสรรค์รูปทรงหรือองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ที่สะท้อนจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิที่สุดคือพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม การออกแบบและวางผังวัดสุทัศนเทพวนารามได้จำลองเวชยันต์ปราสาทจากดาวดึงส์สวรรค์ลงมาไว้ ภายในพระอุโบสถแสดงอดีตพุทธเจ้า พร้อมด้วยเทพต่างๆมากมาย  วัดไชยวัฒนาราม อยุธยาเป็นต้น  แต่วัดทุกแห่งไม่ใช่จะสะท้อนคติความเชื่อจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิทุกวัด  วัดทุกวัดไม่จำเป็นต้องวางผังให้สะท้อนความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุ ไม่จำเป็นจะต้องมีสถูปเจดีย์ แต่วัดทุกวัดไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าอิทธิพลทางความคิดและความเชื่อ ตลอดจนเรื่องราวในไตรภูมิ ได้เข้ามามีส่วนอย่างมากต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะและสถาปัตยกรรม ดังจะเห็นได้จากวัดสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ส่วนใหญ่ที่ต่างก็เป็นภาพสะท้อนของแนวคิดจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิไม่มากก็น้อยแทบทั้งสิ้น (เสมอชัย  พูลสุวรรณ,สัญลักษณ์ในงานจิตรกรรมไทยระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-24, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2539, หน้า 153.)  

              ลักษณะการเขียนภาพจากไตรภูมิโลกสัณฐาน โดยทั่วไปจะแสดงกามภูมิคือนรกระดับต่างๆเป็นแดนทุกข์ของผู้เดือดร้อนข้องอยู่ในกามตัณหา ซึ่งเขียนเป็นภาพไว้ตอนล่างของผนัง โลกมนุษย์และสวรรค์ระดับล่างได้แก่สวรรค์ดาวดึงส์ก็รวมอยู่ในกามภูมิ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่เหนือยอดภูเขาพระสุเมรุอันเป็นแกนจักรวาล ล้อมรอบด้วยภูเขาวงแหวนลดหลั่นกันเจ็ดวงเรียกว่าภูเขาสัตตบริภัณฑ์   เหนือขึ้นไปจากกามภูมิคืออรูปภูมิ เป็นแดนของพรหม แม้ยังมีรูปเขียนเป็นภาพภาพพรหมประทับในปราสาท แต่จิตใจก็ไม่ติดข้องในกิเลส แดนนี้แบ่งออกเป็นหลายระดับ ก่อนจะไปถึงอรูปภูมิ ซึ่งเป็นพรหมไม่มีรูป ช่างเขียนจึงเขียนภาพปราสาทว่างเปล่าเป็นสื่อให้ทราบความมีอยู่ของสวรรค์ชั้นนี้ บางแห่งเขียนภาพคล้ายหมอนวางนิ่งอยู่ในปราสาทด้วย และพ้นจากนั้นคืออากาศธาตุอันหมายถึงสภาวะแห่งนิพพาน (สันติ  เล็กสุขุม,จิตรกรรมไทยสมัยรัชกาลที่๓ ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม,กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ, 2548,หน้า 20.)  

              พุทธศิลป์ด้านจิตรกรรมจึงเป็นการเสนอแนวคิดเรื่องเทพและภพภูมิได้ครบถ้วนที่สุด สามารถสื่อให้เห็นทั้งความงามและศีลธรรมในขณะเดียวกัน 
              ส่วนงานที่เสนอได้บางส่วนเพราะจำกัดด้วยพื้นที่เช่น “หน้าบันพระอุโบสถ” เป็นที่น่าสังเกตว่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการแสดงถึงคติความเชื่ออันเกี่ยวพันกับคติทางศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นหน้าบันส่วนใหญ่ทั่วๆไปก่อนสมัยรัชกาลที่สี่ที่สร้างขึ้นโดยพระมหากษัตริย์จะเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ หรือพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ อันเป็นสัญลักษณ์แทนสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นเสมือน “สมมติเทพ”เช่นหน้าบันพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดมหาธาตุ วัดชนะสงคราม วัดระฆังโฆษิตารามเป็นต้น (ชาตรี  ประกิตนนทการ,การเมืองสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม,กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน 2547), หน้า 94.) 
              พุทธศิลป์กับแนวคิดเรื่องเทพและภพภูมิที่ปรากฏในงานศิลปะ ทั้งงานจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทย และสถาปัตยกรรมไทย วรรณกรรมเป็นงานศิลปกรรมที่แฝงไปด้วยคุณค่าทางภูมิปัญญาไทย เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่ไม่มีในชาติอื่นใด นั่นก็คือศิลปะแบบอุดมคติ (Idealistic) โดยมีรากฐานแนวคิดมาจากปรัชญาทางพระพุทธศาสนา และเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพ ภพภูมิ จึงเป็นการทำให้พุทธศิลป์มีคุณค่าและมีการสืบทอดอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการสอนพระพุทธศาสนาและสอนศีลธรรมโดยผ่านงานศิลปะอีกด้วย
           บุรพาจารย์มีวิธีการสอนพระพุทธศาสนาโดยประยุกต์ใช้อุปกรณ์การสอนเท่าที่สามารถจะหาได้ แม้แต่งานจิตรกรรมก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวของพระพุทธศาสนาได้ นอกจากนั้นยังมีความสุนทรีย์แทรกอยู่ด้วย ผู้มองด้วยสายตาแห่งความงามก็เห็นความงาม ส่วนผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าสิ่งที่แฝงอยู่ในงานจิตรกรรมก็สามารถมองทะลุผ่านงานเข้าไป จากนั้นจึงค่อยๆตีความตามที่ศิลปินได้รังสรรค์งานศิลปะ
  

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
เรียบเรียง
แก้ไขปรับปรุง 17/06/53

 

บรรณานุกรม

ชาตรี  ประกิตนนทการ.การเมืองสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม. 
           กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน, 2547.
พระมหาธรรมราชาที่ 1(พญาลิไท).ไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถา. พิมพ์ครั้งที่ 8, กรุงเทพฯ:
           จักรานุกูลการพิมพ์,2543.
ประเสริฐ  ศีลรัตนา. สุนทรียะทางทัศนศิลป์. กรุงเทพ  ฯ :สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2542.
ราชบัณฑิตยสภา.พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต.กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสภา,2525. 
วาสนา บุญสม.ศิลปวัฒนธรรมไทยสายใยจากอดีต.กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ปิรามิด,2548.
วิบูลย์  ลี้สุวรรณ.ศิลปะในประเทศไทย.กรุงเทพฯ:ศูนย์หนังสือลาดพร้าว,2548.
สันติ  เล็กสุขุม.จิตรกรรมไทยสมัยรัชกาลที่3 ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม.กรุงเทพฯ:
          เมืองโบราณ,2548.
เสฐียรโกเศศ.เล่าเรื่องในไตรภูมิ. กรุงเทพ ฯ: ศยาม,2544.
เสมอชัย  พูลสุวรรณ.สัญลักษณ์ในงานจิตรกรรมไทยระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-24. กรุงเทพฯ: 
          สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2539.
ศิลป์ พีระศรี.  “วิวัฒนาการแห่งจิตรกรรมฝาผนังของไทย”.ศิลปะวิชาการ. กรุงเทพฯ: 
          มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์  พีรศรี,2546.


 

 

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก