ภาพจิตรกรรมที่แสดงถึงพุทธศิลป์โดยนำเสนอแนวคิดเรื่องเทพและภพภูมินั้นมีตัวอย่างเช่นจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม เป็นภาพพุทธประวัติ ภาพชุดนรก และภาพทศชาติ จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดทองนพคุณ เป็นเรื่องพระเวสสันดรชาดก จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดทองธรรมชาติ เป็นภาพเรื่องพระพุทธประวัติ เริ่มตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าประสูติ จนถึงหลังการปรินิพพาน 218 ปี แทรกความหมาย ที่เป็นปรัชญาและพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนา ภาพเขียนเรื่องไตรภูมิและภาพปางมารผจญ ที่วัดอินทาราม จังหวัดชลบุรี, วัดดุสิตาราม ธนบุรี, วัดสุวรรณาราม ธนบุรี และวัดสุทัศน์เทพวราราม พระนคร ยังคงรักษาคุณลักษณ์อันงดงามดั้งเดิมของตนไว้ ในขณะที่ภาพอื่นๆ ซึ่งอยู่ระหว่างช่องหน้าต่างได้สูญเสียไปเพราะถูกซ่อมแซมใหม่ สำหรับภาพเรื่องไตรภูมิส่วนที่น่าสนใจที่สุดก็คือ เมืองนรก ณ ที่นี้ช่างเขียนได้ใช้ความนึกคิดส่วนตัวของเขาแสดงภาพการลงโทษทุกชนิดแก่ผู้กระทำบาป และผู้กระทำบาปส่วนมากก็จะหันหน้าไปยังพระมาลัยและกระทำการเคารพเพื่อจะขอให้หลุดพ้นจากทุกขเวทนา ภาพเรื่อง ไตรภูมินี้มีเขียนอยู่เกือบทุกวัดที่มีจิตรกรรมฝาผนัง แต่ก็ไม่มีแห่งใดเลยที่ภาพเมืองนรกจะได้รับการวาดขึ้นอย่างน่ากลัว และให้ความรู้มากเท่ากับที่วัดดุสิตาราม (ศิลป์ พีระศรี, “วิวัฒนาการแห่งจิตรกรรมฝาผนังของไทย”,ศิลปะวิชาการ, กรุงเทพฯ: มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีรศรี,2546,หน้า 212.)
จิตรกรรมที่นำเสนอพุทธประวัติมักจะมีเทพเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอดังเช่นจิตรกรรมฝาผนังอุโบสถวัดสุวรรณาราม กรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่สามเป็นตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์ทรงผนวช ทรงตัดพระเกศาท่ามกลางเหล่าเทวดา นายฉันนะในท่าโศกซบหลังม้ากัณฑกะ โดยมีพระอินทร์ในท่าเหาะเพื่อรออัญเชิญพระเกศาขึ้นไปประดิษฐานในพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (สันติ เล็กสุขุม,จิตรกรรมไทยสมัยรัชกาลที่๓ ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม,กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ,๒๕๔๘, หน้า ๙๐.)
ส่วนที่ฝาผนังหอไตรวัดระฆังโฆษิตาราม สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นประวัติของพระอินทร์ มีฉากหญิงบรรดาภรรยาของมฆมานพในคราวสร้างศาลาที่พักคนเดินทางอันเป็นงานบุญกุศล (จิตรกรรมไทยสมัยรัชกาลที่๓ ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม, หน้า 71) เทพที่ปรากฏในงานพุทธศิลป์ที่มากที่สุดคือพระอินทร์ มีปรากฏแทบทุกแห่งในงานจิตรกรรม อาจต่างกรรมต่างวาระกันบ้าง
พุทธศิลป์ในงานด้านอื่นๆมีแนวคิดเกี่ยวกับเทพและภพภูมิแทรกอยู่บ้างเช่นในงานสถาปัตยกรรมก็ได้กลายเป็นจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิ ซึ่งได้ถูกสะท้อนลงในหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการวางผัง การสร้างสรรค์รูปทรงหรือองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ที่สะท้อนจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิที่สุดคือพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม การออกแบบและวางผังวัดสุทัศนเทพวนารามได้จำลองเวชยันต์ปราสาทจากดาวดึงส์สวรรค์ลงมาไว้ ภายในพระอุโบสถแสดงอดีตพุทธเจ้า พร้อมด้วยเทพต่างๆมากมาย วัดไชยวัฒนาราม อยุธยาเป็นต้น แต่วัดทุกแห่งไม่ใช่จะสะท้อนคติความเชื่อจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิทุกวัด วัดทุกวัดไม่จำเป็นต้องวางผังให้สะท้อนความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุ ไม่จำเป็นจะต้องมีสถูปเจดีย์ แต่วัดทุกวัดไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าอิทธิพลทางความคิดและความเชื่อ ตลอดจนเรื่องราวในไตรภูมิ ได้เข้ามามีส่วนอย่างมากต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะและสถาปัตยกรรม ดังจะเห็นได้จากวัดสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ส่วนใหญ่ที่ต่างก็เป็นภาพสะท้อนของแนวคิดจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิไม่มากก็น้อยแทบทั้งสิ้น (เสมอชัย พูลสุวรรณ,สัญลักษณ์ในงานจิตรกรรมไทยระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-24, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2539, หน้า 153.)
ลักษณะการเขียนภาพจากไตรภูมิโลกสัณฐาน โดยทั่วไปจะแสดงกามภูมิคือนรกระดับต่างๆเป็นแดนทุกข์ของผู้เดือดร้อนข้องอยู่ในกามตัณหา ซึ่งเขียนเป็นภาพไว้ตอนล่างของผนัง โลกมนุษย์และสวรรค์ระดับล่างได้แก่สวรรค์ดาวดึงส์ก็รวมอยู่ในกามภูมิ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่เหนือยอดภูเขาพระสุเมรุอันเป็นแกนจักรวาล ล้อมรอบด้วยภูเขาวงแหวนลดหลั่นกันเจ็ดวงเรียกว่าภูเขาสัตตบริภัณฑ์ เหนือขึ้นไปจากกามภูมิคืออรูปภูมิ เป็นแดนของพรหม แม้ยังมีรูปเขียนเป็นภาพภาพพรหมประทับในปราสาท แต่จิตใจก็ไม่ติดข้องในกิเลส แดนนี้แบ่งออกเป็นหลายระดับ ก่อนจะไปถึงอรูปภูมิ ซึ่งเป็นพรหมไม่มีรูป ช่างเขียนจึงเขียนภาพปราสาทว่างเปล่าเป็นสื่อให้ทราบความมีอยู่ของสวรรค์ชั้นนี้ บางแห่งเขียนภาพคล้ายหมอนวางนิ่งอยู่ในปราสาทด้วย และพ้นจากนั้นคืออากาศธาตุอันหมายถึงสภาวะแห่งนิพพาน (สันติ เล็กสุขุม,จิตรกรรมไทยสมัยรัชกาลที่๓ ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม,กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ, 2548,หน้า 20.)
พุทธศิลป์ด้านจิตรกรรมจึงเป็นการเสนอแนวคิดเรื่องเทพและภพภูมิได้ครบถ้วนที่สุด สามารถสื่อให้เห็นทั้งความงามและศีลธรรมในขณะเดียวกัน
ส่วนงานที่เสนอได้บางส่วนเพราะจำกัดด้วยพื้นที่เช่น “หน้าบันพระอุโบสถ” เป็นที่น่าสังเกตว่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการแสดงถึงคติความเชื่ออันเกี่ยวพันกับคติทางศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นหน้าบันส่วนใหญ่ทั่วๆไปก่อนสมัยรัชกาลที่สี่ที่สร้างขึ้นโดยพระมหากษัตริย์จะเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ หรือพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ อันเป็นสัญลักษณ์แทนสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นเสมือน “สมมติเทพ”เช่นหน้าบันพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดมหาธาตุ วัดชนะสงคราม วัดระฆังโฆษิตารามเป็นต้น (ชาตรี ประกิตนนทการ,การเมืองสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม,กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน 2547), หน้า 94.)
พุทธศิลป์กับแนวคิดเรื่องเทพและภพภูมิที่ปรากฏในงานศิลปะ ทั้งงานจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทย และสถาปัตยกรรมไทย วรรณกรรมเป็นงานศิลปกรรมที่แฝงไปด้วยคุณค่าทางภูมิปัญญาไทย เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่ไม่มีในชาติอื่นใด นั่นก็คือศิลปะแบบอุดมคติ (Idealistic) โดยมีรากฐานแนวคิดมาจากปรัชญาทางพระพุทธศาสนา และเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพ ภพภูมิ จึงเป็นการทำให้พุทธศิลป์มีคุณค่าและมีการสืบทอดอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการสอนพระพุทธศาสนาและสอนศีลธรรมโดยผ่านงานศิลปะอีกด้วย
บุรพาจารย์มีวิธีการสอนพระพุทธศาสนาโดยประยุกต์ใช้อุปกรณ์การสอนเท่าที่สามารถจะหาได้ แม้แต่งานจิตรกรรมก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวของพระพุทธศาสนาได้ นอกจากนั้นยังมีความสุนทรีย์แทรกอยู่ด้วย ผู้มองด้วยสายตาแห่งความงามก็เห็นความงาม ส่วนผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าสิ่งที่แฝงอยู่ในงานจิตรกรรมก็สามารถมองทะลุผ่านงานเข้าไป จากนั้นจึงค่อยๆตีความตามที่ศิลปินได้รังสรรค์งานศิลปะ
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
เรียบเรียง
แก้ไขปรับปรุง 17/06/53
บรรณานุกรม
ชาตรี ประกิตนนทการ.การเมืองสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม.
กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน, 2547.
พระมหาธรรมราชาที่ 1(พญาลิไท).ไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถา. พิมพ์ครั้งที่ 8, กรุงเทพฯ:
จักรานุกูลการพิมพ์,2543.
ประเสริฐ ศีลรัตนา. สุนทรียะทางทัศนศิลป์. กรุงเทพ ฯ :สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2542.
ราชบัณฑิตยสภา.พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต.กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสภา,2525.
วาสนา บุญสม.ศิลปวัฒนธรรมไทยสายใยจากอดีต.กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ปิรามิด,2548.
วิบูลย์ ลี้สุวรรณ.ศิลปะในประเทศไทย.กรุงเทพฯ:ศูนย์หนังสือลาดพร้าว,2548.
สันติ เล็กสุขุม.จิตรกรรมไทยสมัยรัชกาลที่3 ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม.กรุงเทพฯ:
เมืองโบราณ,2548.
เสฐียรโกเศศ.เล่าเรื่องในไตรภูมิ. กรุงเทพ ฯ: ศยาม,2544.
เสมอชัย พูลสุวรรณ.สัญลักษณ์ในงานจิตรกรรมไทยระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-24. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2539.
ศิลป์ พีระศรี. “วิวัฒนาการแห่งจิตรกรรมฝาผนังของไทย”.ศิลปะวิชาการ. กรุงเทพฯ:
มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีรศรี,2546.