ในมนุษยโลกนี้จะมีใครสักกี่คนที่ถือกำเนิด ทำงานบรรลุผล จากนั้นจึงปรินิพพานลงตรงกับวันเดียวกัน เพียงแต่ต่างปี คือวันเพ็ญเดือนวิสาขะ พระจันทร์ทอแสงเปล่งประกายสดใสท่ามกลางเวหาสน์ ณ ดินแดนอันชาวพุทธทั้งหลายขนานนามว่าชมพูทวีป ปัจจุบันสมัยจาก ณ เวลากาลที่พระพุทธเจ้าศาสดาของชาวพุทธประสูติจำเนียรกาลผ่านมาแล้ว 2633 ปี (80+2553) ชาวพุทธจึงได้ถือเอาวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระพุทธองค์ของทุกปีโดยเรียกวันนี้ว่า “วันวิสาขบูชา”
องค์กรสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นวันสำคัญสากลของโลก โดยในวันที่ 15 ธันวาคม2542 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 54 ได้พิจารณาระเบียบวาระที่174 International recognition of the Day of Visaka โดยการเสนอของศรีลังกา ในการพิจารณา ประธานสมัชชาฯ ได้เชิญผู้แทนศรีลังกาขึ้นกล่าวนำเสนอร่างข้อมติ และเชิญผู้แทนไทย สิงคโปร์ บังคลาเทศ ภูฐาน สเปน พม่า เนปาล ปากีสถาน อินเดียขึ้นกล่าวถ้อยแถลง สรุปความว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของ พุทธศาสนิกชนทั่วโลกเพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรม ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของ สหประชาชาติ จึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองความสำคัญของพุทธศาสนาในองค์การสหประชาชาติ โดยถือว่าวันดังกล่าวเป็นที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติและที่ทำการสมัชชาจะจัดให้มีการระลึกถึง(observance) ตามความเหมาะสม
ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างข้อมติโดยฉันทามติ ถ้อยแถลงของเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ ศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ถ้อยแถลงของนายวรวีร์ วีรสัมพันธ์ อุปทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
ในปีพุทธศักราช 2553 นี้ เนื่องจากเป็นปีที่มีอธิกมาส(แปดสองหน) “วันวิสาขบูชาจึงเลื่อนไปอีกเป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน7 ตรงกับวันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2553 การประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานนั้นได้แสดงไว้ในตำราหลายเล่ม ตั้งแต่หนังสือพุทธประวัติของนักธรรมชั้นตรี อันเป็นชั้นเบื้องต้นของการเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา และยังมีปรากฏในพระไตรปิฎกแทรกอยู่ในสูตรต่างๆ ซึ่งจะได้นำเสนอเพื่อเป็นเครื่องพิจารณาต่อไป
พระศาสดาประสูติ
พระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางเจ้ามายา ได้ร่วมเสวยรมย์โดยสุขสบาย, จำเนียรกาลล่วงมา พระศาสดาของเราทั้งหลาย. ได้ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางเจ้ามายา. ทรงถือปฏิสนธิเมื่อวันพฤหัสดี เพ็ญเดือนอาสาฬหะ ปีระกา ก่อนพุทธศก 80 ปี เมื่อถึงเวลาจวนจะประสูติ พระนางเจ้าทรงปรารถนาจะเสด็จประพาสอุทยานลุมพินีวัน, บัดนี้ เรียกว่า ตำบลรุมมินเด แขวงเปชวาว์ ประเทศเนปาล
พระราชสามีก็ทรงอนุมัติมิได้ขัดพระอัธยาศัย ถึงมงคลสมัยวันวิสาขปุรณมีเพ็ญเดือน 6 แห่งปีก่อนพุทธศก 80, เวลาเช้า พระนางเจ้าเสด็จโดยสถลมารค พร้อมด้วยราชบริพารฝ่ายในฝ่ายหน้าถึงป่าลุมพินีเสด็จประพาสเล่นอยู่
ในที่นี้พระคันถรจนาจารย์ กล่าวถึงเหตุเสด็จลุมพินีวันว่าพระนางเจ้าปรารถนาจะเสด็จเยี่ยมสกุลของพระองค์ ในเทวทหนครจึงเสด็จถึงสถานตำบลนี้ อันตั้งอยู่ในกึ่งกลางแห่งนครทั้ง 2. คำนี้มีหลักฐานที่พอฟังได้, สมด้วยธรรมเนียมพราหมณ์ ภรรยามีครรภ์หาคลอดที่เรือนของสามีไม่ กลับไปคลอดที่เรือนของสกุลแห่งตน
ในเวลานั้น เผอิญพระนางเจ้าประชวรพระครรภ์ จะประสูติอำมาตย์ผู้ตามเสด็จ จัดที่ประสูติถวายใต้ร่มไม้สาละ ตามสามารถที่จะจัดได้ พระศาสดาได้ประสูติจากพระครรภ์พระมารดาในที่นั้น.ในวันศุกร์ เพ็ญเดือนวิสาขะ ปีจอ ก่อนพุทธศก 80 ปี เวลาสายใกล้เที่ยง พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าว จึงตรัสสั่งให้เชิญเสด็จกลับพระราชนิเวศน์
เป็นธรรมดาของท่านผู้เป็นมหาบุรุษ ได้เกิดมาทำอุปการะอันยิ่งใหญ่แก่โลก จะมีผู้กล่าวสรรเสริญอภินิหารของท่านด้วยประการต่าง ๆ ในปางหลังแต่ยุคของท่าน เหตุนั้น พระคันถรจนาจารย์ก็ได้กล่าวอภินิหารของพระศาสดาไว้ โดยอเนกนัยเหมือนกัน, เล่าเรื่องตั้งแต่เสด็จอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต, พวกเทวดาพากันมาอาราธนาเพื่อเสด็จลงมาสู่มนุษยโลก นำสัตว์ข้ามโอฆะคือสงสารสาคร พระองค์ทรงจุติจากดุสิตพิภพ ลงสู่พระครรโภทรแห่งพระมารดา. ปรากฏแก่พระมารดาในสุบินเป็นพระยาช้างเผือก เสด็จอยู่ในพระครรภ์บริสุทธิ์ อันมลทินมิได้แปดเปื้อน และประทับนั่งขัดสมาธิ ไม่คุดคู้เหมือนทารกอื่น, พระมารดาและเห็นได้ถนัด. เวลาประสูติ พระมารดาเสด็จประทับยืนไม่นั่งเหมือนสตรีอื่น
พระองค์ประสูติบริสุทธิ์ไม่เปรอะเปื้อนด้วยครรภมลทิน, มีเทวดามาคอยรับก่อน, มีธารน้ำร้อนน้ำเย็นตกลงมาจากอากาศสนานพระองค์; พอประสูติแล้ว ทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว, เปล่งวาจาเป็นบุรพนิมิตแห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ. การเสด็จลงสู่พระครรภ์ตลอดจนถึงการประสูติของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีลักษณะเหมือนกัน ดังที่ พระโคตมพุทธเจ้าแสดงการประสูติของวิปัสสีพุทธเจ้าตามที่ปรากฏในทีฆนิกาย มหาวรรคว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ เมื่อใดพระโพธิสัตว์จุติจาก ชั้นดุสิต เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา เมื่อนั้นในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ แสง สว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ปรากฎในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ช่องว่าง ซึ่งอยู่ที่สุดโลก มิได้ถูกอะไรปกปิดไว้ ที่มืดมิดก็ดี สถานที่ที่พระจันทร์และ พระอาทิตย์เหล่านี้ ซึ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากปานนี้ส่องแสงไปไม่ถึงก็ดี ในที่ ทั้งสองชนิดนั้น แสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฎล่วงเทวานุภาพของเทวดา ทั้งหลาย ถึงสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในสถานที่เหล่านั้นก็จำกันและกันได้ ด้วยแสงนั้น ว่า พ่อเฮ้ย ได้ยินว่า ถึงสัตว์พวกอื่นที่เกิดในนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน ทั้งหมื่นโลก ธาตุนี้ ย่อมหวั่นไหว สะเทื้อนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณย่อมปรากฎในโลกล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ลงสู่พระครรภ์พระมารดา เทวบุตร 4 องค์ ย่อมเข้าไปรักษาทิศทั้ง 4 โดยตั้งใจว่า ใครๆ คือ มนุษย์ หรืออมนุษย์ก็ตามอย่าเบียดเบียนพระโพธิสัตว์ หรือพระมารดา ของพระโพธิสัตว์นั้นได้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา พระมารดาของพระโพธิสัตว์โดยปรกติทรงศีล งดเว้น จากการฆ่าสัตว์งดเว้นจากการลักทรัพย์ งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม งดเว้น จากการกล่าวเท็จ งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นฐานแห่งความ ประมาท ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมไม่เกิดมานัส ซึ่งเกี่ยวด้วยกามคุณในบุรุษทั้งหลาย พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมเป็นหญิงที่บุรุษใดๆ ซึ่งมีจิตกำหนัดแล้วจะล่วงเกินไม่ได้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมได้กามคุณ 5 พระนางเพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ 5 ได้รับบำเรออยู่ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา อาพาธใดๆ ย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทรงสำราญ ไม่ลำบากพระกาย และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ซึ่งเสด็จอยู่ ภายในพระครรภ์มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียรไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว เหลือง แดง ขาวหรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษผู้มีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นี้นั้นวางไว้ในมือแล้ว พิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่าง เจียรไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวล ร้อยอยู่ในแก้วไพฑูรย์นั้น แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา อาพาธใดๆย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทรงสำราญ ไม่ลำบากพระกาย และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ผู้เสด็จอยู่ ณ ภายในพระครรภ์ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มี อินทรีย์ไม่บกพร่อง ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ แล้วได้ 7 วัน พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทิวงคตเสด็จเข้าถึงชั้นดุสิต ข้อนี้ เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้หญิงอื่นๆ บริหารครรภ์ 9 เดือนบ้าง 10 เดือนบ้างจึงคลอด พระมารดาของพระโพธิสัตว์หาเหมือนอย่างนั้นไม่พระมารดาของพระโพธิสัตว์บริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ครบ 10 เดือนถ้วนจึงประสูติ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่ประสูติเหมือนหญิงอื่นๆ ซึ่งนั่งหรือนอนคลอด ส่วนพระมารดาของ พระโพธิสัตว์ประทับยืนประสูติพระโพธิสัตว์ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา พวกเทวดารับก่อน พวกมนุษย์รับทีหลัง ข้อนี้ เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ออกจากพระครรภ์พระมารดาและยังไม่ทันถึงแผ่นดิน เทวบุตร 4 องค์ประคองรับ พระโพธิสัตว์นั้นแล้ว วางไว้เบื้องหน้าพระมารดา กราบทูลว่า ขอจงมีพระทัยยินดีเถิดพระเทวี พระโอรสของพระองค์ที่เกิดมีศักดิ์ใหญ่ นี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ออกจากพระครรภ์พระมารดา เสด็จออกอย่างง่ายดายทีเดียว ไม่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต ไม่เปรอะเปื้อนด้วยอสุจิ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แก้วมณีอันบุคคล วางลงไว้ในผ้ากาสิกพัสตร์ แก้วมณีย่อมไม่ทำผ้ากาสิกพัสตร์ให้เปรอะเปื้อนเลย ถึงแม้ผ้ากาสิกพัสตร์ก็ไม่ทำแก้วมณีให้เปรอะเปื้อน เพราะเหตุไรจึงเป็นดังนั้น เพราะสิ่งทั้งสองเป็นของบริสุทธิ์ แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน แล ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา เสด็จออกอย่าง ง่ายดายทีเดียว ไม่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ ไม่เปรอะเปื้อน ด้วยโลหิต ไม่เปรอะเปื้อนด้วยอสุจิ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ เสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา ธารน้ำย่อมปรากฏจากอากาศสองธาร เย็นธารหนึ่ง ร้อนธารหนึ่งสำหรับกระทำอุทกกิจ แก่พระโพธิสัตว์และพระมารดา ข้อนี้ เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้ว ได้ครู่หนึ่ง ประทับยืนด้วยพระบาททั้งสองอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตร์ทางด้าน ทิศอุดร เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว และเมื่อฝูงเทพดากั้นเศวตฉัตรตามเสด็จอยู่ทรงเหลียวแลดูทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่าอันองอาจว่า เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลกความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้ มี ดังนี้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้เมื่อใดพระโพธิสัตว์ เสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้นในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ แสงสว่างอันยิ่ง ไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ช่องว่างซึ่งอยู่ที่สุด โลกมิได้ถูกอะไรปกปิด ที่มืดมิดก็ดี สถานที่ที่พระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านี้ ซึ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากปานนี้ส่องแสงไปไม่ถึงก็ดี ในที่ทั้งสองชนิดนั้น แสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ถึงสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในสถานที่เหล่านั้นก็จำกันและกันได้ ด้วยแสงสว่างนั้นว่า พ่อเฮ้ย ได้ยินว่าถึงสัตว์พวกอื่นที่เกิดในนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน และหมื่นโลกธาตุนี้ย่อมหวั่นไหวสะเทื้อนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ (ที. มหา.10/13-27/10.) การพรรณนารูปกายสมบัติของพระองค์ว่า มีพระลักษณะต้องด้วยมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ ซึ่งมีบรรยายไว้ในมหาปทานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค (10 /29/13) มีข้อความดังนี้
1. ขอเดชะ ก็ พระราชกุมารนี้มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี (เรียบเสมอ) ข้าแต่สมมติเทพ การที่พระราชกุมารนี้มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี นี้เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น ฯ
2. ณ พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง 2 ของพระราชกุมารนี้ มีจักรเกิดขึ้น มีซี่กำข้างละพันมีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ข้าแต่สมมติเทพ แม้การที่พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง 2 ของพระราชกุมารนี้มีจักรเกิดขึ้น มีซี่กำข้างละพัน มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง นี้ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น ฯ
3. มีส้นพระบาทยาว ฯ
4. มีพระองคุลียาว ฯ
5. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม ฯ
6. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย ฯ
7. มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ ฯ
8. มีพระชงฆ์รีเรียวดุจแข้งเนื้อทราย ฯ
9. เสด็จสถิตยืนอยู่มิได้น้อมลง เอาฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบคลำได้ถึง พระชาณุทั้งสอง ฯ
10. มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ฯ
11. มีพระฉวีวรรณดุจวรรณแห่งทองคำ คือ มีพระตจะประดุจหุ้มด้วยทอง ฯ
12. มีพระฉวีละเอียด เพราะพระฉวีละเอียด ธุลีละอองจึงมิติดอยู่ในพระกายได้ ฯ
13 มีพระโลมชาติเส้นหนึ่งๆ เกิดในขุมละเส้นๆ ฯ
14. มีพระโลมชาติที่มีปลายช้อยขึ้นข้างบน มีสีเขียว มีสีเหมือนดอกอัญชัญขดเป็นกุณฑลทักษิณาวัฏ ฯ
15. มีพระกายตรงเหมือนกายพรหม ฯ
16. มีพระมังสะเต็มในที่ 7 สถาน ฯ
17. มีกึ่งพระกายท่อนบนเหมือนกึ่งกายท่อนหน้าของสีหะ ฯ
18. มีระหว่างพระอังสะเต็ม ฯ
19. มีปริมณฑลดุจไม้นิโครธ วาของพระองค์เท่ากับพระกายของพระองค์ พระกายของพระองค์เท่ากับวาของพระองค์ ฯ
20. มีลำพระศอกลมเท่ากัน ฯ
21. มีปลายเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารอันดี ฯ
22. มีพระหนุดุจคางราชสีห์ ฯ
23. มีพระทนต์ 40 ซี่ ฯ
24. มีพระทนต์เรียบเสมอกัน ฯ
25. มีพระทนต์ไม่ห่าง ฯ
26. มีพระทาฐะขาวงาม ฯ
27. มีพระชิวหาใหญ่ ฯ
28. มีพระสุรเสียงดุจเสียงแห่งพรหม ตรัสมีสำเนียงดังนกการวิก ฯ
29. มีพระเนตรดำสนิท (ดำคม) ฯ
30. มีดวงพระเนตรดุจตาแห่งโค ฯ
31. มีพระอุณณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างแห่งขนง มีสีขาวอ่อนควร เปรียบด้วยนุ่น ฯ
32. มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ ข้าแต่สมมติเทพ แม้การที่พระราชกุมารนี้ มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์นี้ ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น ฯ
ขอเดชะ พระราชกุมารนี้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เหล่านี้ ซึ่งมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่นคือถ้าครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร 4 เป็นขอบเขต ทรงชำนะแล้ว มีราชอาณาอันรจนาไว้ในตำหรับของ พราหมณ์ และมีทำนายไว้ว่า ท่านผู้ประกอบด้วยลักษณะเห็นปานนั้น ย่อมมีคติเป็น 2, ถ้าได้ครองฆราวาส จัดได้เป็นจักรพรรดิราชครองแผ่นดิน มีสมุทรสาคร 4 เป็นขอบเขต, ถ้าออกทรงผนวชจัดได้ตรัสเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาเอกในโลก.
พระศาสดาได้เสด็จอุบัติมาทรงทำอุปการะอันยิ่งใหญ่แก่โลกจึงได้มีอภินิหารบ้างหมือนกัน อันพระคันถรจนาจารย์พรรณนาไว้อย่างนี้. เหตุมีอภินิหารเหล่านี้ก็น่าจะมีหลายทาง และค่อยมีมาโดยลำดับ. ทางหนึ่งคือเรื่องกาพย์, จินตกวีผู้ประพันธ์แต่งขยายเรื่องจริงให้เขื่อง เพื่อต้องการความไพเราะในเชิงกาพย์ มีตัวอย่างจักกล่าวถึงในข้างหน้า.
ฝ่ายอสิตดาบส (อีกอย่างหนึ่งเรียกกาฬเทวิลดาบส) ผู้อาศัยอยู่ข้างเขาหิมพานต์ ผู้คุ้นเคยและเป็นที่นับถือของราชสกุล, ได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะประสูติใหม่ จึงเข้าไปเยี่ยม. พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ ตรัสสั่งให้เชิญเข้าไปนั่ง ณ อาสนะอันสมควรแล้ว ทรงอภิวาทและปราศรัยตามควรแล้ว, ทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อจะให้นมัสการพระดาบส. พระดาบสเห็นพระโอรสนั้นมีลักษณะต้องด้วยตำหรับมหาบุรุษลักษณะ ซึ่งที่คำทำนายคติไว้โดยส่วนสองดังกล่าวแล้วนั้น, ครั้น เห็นอัศจรรย์อย่างนั้นแล้ว มีความเคารพนับถือในพระราชโอรสนั้นมาก ลุกขึ้นกราบลงที่พระบาททั้งสองของพระโอรสนั้นด้วยศีรษะของตนแล้ว, กล่าวคำทำนายลักษณะของพระโอรสนั้น ตามมหาบุรุษลักษณะพยากรณศาสตร์นั้นแล้ว ถวายพระพรลากลับไปอาศรมแห่งตน.
ฝ่ายราชสกุล เห็นดาบสผู้เป็นที่นับถือแห่งตน ลงกราบที่พระบาทของพระราชโอรสแสดงความนับถือ และได้ฟังคำพยากรณ์อย่างนั้น ก็มีจิตนับถือในพระราชโอรสนั้นยิ่งนัก, ยอมถวายโอรสของตน ๆ เป็นบริวารสกุลละองค์ ๆ ส่วนพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาก็พระราชทานบริหาร, จัดพี่เลี้ยงนางนมคอยระวังรักษาพระราชโอรสเป็นนิตยกาล.
เมื่อประสูติแล้วได้ 5 วัน, พระองค์โปรดให้ชุมนุมพระญาติวงศ์และเสนามาตย์พร้อมกัน, เชิญพราหมณ์ร้อยแปดคนมาฉันโภชนาหารแล้ว ทำมงคลรับพระลักษณะและขนานพระนามว่า “สิทธัตถกุมาร แปลว่า มีความต้องการสำเร็จ” น่าจะหมายความว่า ได้พระโอรสเป็นแรกสมหวังแต่พระอรรถกถาจารย์แก้ความว่าบริบูรณ์ จะต้องการอะไรได้หมด.
แต่มหาชนมักเรียกตามพระโคตรว่า “โคตมะ” ฝ่ายพระนางเจ้ามายาผู้เป็นมารดา พอประสูติพระราชโอรสแล้วได้ 7 วันก็สิ้นพระชนม์, พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงมอบพระราชโอรสนั้น แก่พระนางปชาบดีโคตมีพระมาตุจฉาเลี้ยงต่อมา. ภายหลังพระนางนั้นมีพระราชบุตรพระองค์หนึ่ง ทรงนามว่า “นันทกุมาร” มีพระราชบุตรพระองค์หนึ่ง ทรงนามว่า "รูปนันทา" แม้ถึงอย่าง นั้น ก็ไม่ทรงนำพาในที่จะทำนุบำรุงให้ยิ่งกว่าสิทธัตถกุมาร
ตรัสรู้
ในการตรัสรู้นั้นมีข้อความในหนังสือพุทธประวัติดังนี้ นับแต่บรรพชามา 6 ปีล่วงแล้ว จึงได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ คือได้พระปัญญารู้ธรรมพิเศษ เป็นเหตุพอพระหฤทัยว่า "รู้ละ" ในราตรีแห่งวิศาขปุรณมี ดิถีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงวิศาขนักขัตฤกษ์ ที่ใต้ร่มไม้อัสสัตถพฤกษ์โพธิใบ ในปีก่อนพุทธศก 45.
พระองค์ทรงรู้เห็นธรรมอะไร จึงพอพระหฤทัยว่ารู้ และหยุดการแสวงต่อไป และเริ่มสั่งสอนผู้อื่น ? ทางดีในอันสันนิษฐานข้อนี้คือกระแสพระธรรมเทศนาของพระองค์ ที่ได้ประทานไว้ในที่นั้น ๆ ในกาลนั้น ๆ มีปฐมเทศนาเป็นอาทิ. ฝ่ายพระมัชฌิมภาณกาจารย์แสดงความตรัสรู้ของพระองค์ไว้ดังนี้
ทรงเจริญสมถภาวนา ทำจิตให้เป็นสมาธิ คือแน่แน่วบริสุทธิ์ปราศจากอุปกิเลส คืออารมณ์เครื่องเศร้าหมอง สุขุมเข้าโดยลำดับนับว่าได้บรรลุฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4,1 แล้วยังญาณอันเป็นตัวปัญญา 3 ประการให้เกิดขึ้นในยามทั้ง 3 แห่งราตรีตามลำดับกัน.
ญาณ 3 นั้น ที่ 1 บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แปลว่าความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน, ท่านแจกอรรถโดยอาหารระลึกชาติหนหลังของตนได้. ที่ 2 จุตูปปาตญาณ แปลว่า ความรู้ในจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย, ท่านแจกอรรถโดยอาการรู้สัตว์ทั้งหลายอันดีเลวต่างกันว่าเป็นด้วยอำนาจกรรม, อีกนัยหนึ่งเรียกว่าทิพพจักขุญาณ แปลว่าความรู้ดุจดวงตาทิพย์. ที่ 3 อาสวักขยญาณแปลว่าความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือเครื่องเศร้าหมองอันหมักหมมอยู่ในจิตสันดาร, ท่านแจกอรรถโดยอาการกำหนดรู้ขันธ์พร้อมทั้งอาการ โดยความเป็นเหตุและเป็นผลเนื่องต่อกันไป, จบลงด้วยรู้อริยสัจ คือความจริงอย่างสูง 4 ประการ คือรู้ทุกข์ 1 รู้ทุกขสมุทัย เหตุเกิดแห่งทุกข์ 1 รู้ทุกขนิโรธ ความดับแห่งทุกข์ 1 รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ทางดำเนินถึงความดับทุกข์ 1. หรือกล่าวสั้นว่ารู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค, และรู้อาสวะ เหตุเกิดอาสวะ ความดับอาสวะ ทางดำเนินถึงความดับอาสวะ เมื่อพระองค์รู้เห็นอย่างนี้ จิตก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.
ญาณทั้ง 3 นั้นพึงเห็นโดยนัยดังนี้
ญาณที่ต้น ให้หยั่งรู้อัตภาพโดยเป็นแต่สภาวะอย่างหนึ่ง ๆ คุมกันเข้า ได้ชื่อว่าขันธ์ เช่นธาตุ 4 ปฐวี อาโป เตโช วาโย คุมกันเป็นเป็นขันธ์อันหนึ่ง เรียกรูป, ความรู้สึกสุขทุกข์หรือเฉย ๆ เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง เรียกเวทนา, ความจำนั่นจำนี่ได้ เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง เรียกสัญญา, ความนึกความคิด เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง เรียกสังขาร,ความรู้ทางทวาร 5 ภายนอกและจิตอันเป็นพนักงานผู้นึกผู้คิด เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง เรียกวิญญาณ; โดยบรรยายนี้เป็นปัญจขันธ์. แม้ขันธ์หนึ่ง ๆ ก็เป็นมาแต่สภาวะย่อย ๆ คุมกันเข้าอีก, เหมือนรถหรือเรือน เป็นนของที่สัมภาระย่อยคุมกันเข้า, เป็นอย่างนี้ทั้งส่วนอันล่วงไปแล้ว ทั้งส่วนยังเป็นไปอยู่ คนผู้ไม่ได้เคยสดับย่อมเห็นเป็นสิ่งเป็นอัน เป็นผู้เป็นคน และหลงรักลงชังในขันธ์นั้น, เหมือนคนผู้ไม่ได้เป็นช่าง เห็นเป็นแต่รถแต่เรือน ถึงจะรู้บ้างก็ยังหยาบ. ต่อนายช่างจึงจะเล็งเห็นละเอียดลงไปถึงสัมภาระ. ญาณนี้ย่อมนำ (กำจัด) ความหลงในขันธ์อันเป็นเหตุรักหรือชังเสีย.
ญาณที่ 2 ให้หยั่งรู้ว่าขันธ์นั้นแล ย่อมเป็นไปตามอำนาจแห่งธรรมดา, มีอันคุมกันเข้าเป็นสัตว์เป็นบุคคล แล้วภายหลังสลายจากกัน เป็นอย่างนี้เหมือนกันทั้งหมด, แต่ถึงอย่างนั้น ยังดีเลวงามไม่งาม ได้สุขได้ทุกข์ต่างกันอยู่, เป็นอย่างนี้เพราะกรรมที่ทำ.ญาณนี้ย่อมนำ (กำจัด) ความหลงในคติแห่งขันธ์อันเป็นเหตุสำคัญผิดด้วยประการต่าง ๆ เสีย.
ญาณที่ 3 ให้หยั่งรู้ขันธ์พร้อมทั้งอาการโดยความเป็นเหตุและผลเนื่องประพันธ์กันไป, สภาวะอย่างหนึ่งเป็นผลเกิดแต่เหตุอย่างหนึ่งแล้ว ซ้ำเป็นเหตุยังผลอย่างอื่นให้เกิดต่อไปอีกเล่า เหมือนลูกโซ่เกี่ยวคล้องกันเป็นสาย, บรรยายนี้เรียกปฏิจจสมุปบาท. ญาณนี้ย่อมนำ(กำจัด) ความหลงในธรรมดาเป็นเหตุเพลินในขันธ์อันประณีตเสีย ที่ท่านแสดงว่าเห็นอริยสัจ 4 มีทุกข์เป็นต้น และเป็นเหตุถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิง ที่ท่านแสดงว่าสิ้นอาสวะทั้งปวง.
ฝ่ายพระอาจารย์ผู้รจนาอรรถกถา แสดงธรรมพิเศษที่พระองค์ตรัสรู้โดยสังเขปเพียงสักว่าชื่อ แต่กล่าวประพฤติเหตุอันเป็นไปในวัน ตรัสรู้โดยพิสดารดังนี้ :-
ในเช้าวันนั้น นางสุชาดาบุตรีกุฎุมพีนายใหญ่แห่งชาวบ้าน เสนานิคม ณ ตำบลอุรุเวลา, ปรารถนาจะทำการบวงสรวงเทวดาหุงข้าปายาสคือข้าวสุก หุงด้วยน้ำนมโคล้วนเสร็จแล้ว จัดลงในถาดทองนำไปที่โพธิพฤกษ์. เห็นพระมหาบุรุษเสด็จนั่งอยู่ สำคัญว่าเทวดาจึงน้อมข้าวปายาสเข้าไปถวาย.1 ในเวลานั้นบาตรของพระองค์เผอิญอันตรธานหาย, พระองค์จึงทรงรับข้าวปายาสนั้นทั้งถาดด้วยพระหัตถ์ แล้วทอดพระเนตรแลดูนาง. นางทราบพระอาการจึงทูลถวายทั้งถาดแล้วกลับไป. พระมหาบุรุษทรงถือถาดข้าวปายาสเสด็จไปสู่ท่าแห่งแม่น้ำเนรัญชรา, สรงแล้วเสวยข้าวปายาสหมดแล้วทรงลอยถาดเสียในกระแสน้ำ. พระองค์เสด็จประทับอยู่ในดงไม้สาละใกล้ฝั่งแม่น้ำในกลางวัน, ครั้นเวลาเย็น เสด็จมาสู่ต้นพระมหาโพธิ ทรงรับหญ้าของคนหาบหญ้า ชื่อโสตถิยะ ถวายในระหว่างทาง, ทรงลาดหญ้าต่างบัลลังก์ ณ ควงพระมหาโพธิด้านปราจีนทิศแล้ว เสด็จนั่งขัดสมาธิ ผันพระพักตร์ทางบุรพทิศ ผันพระปฤษฎางค์ ทางลำต้นพระมหาโพธิ, ทรงอธิษฐานในพระหฤทัยว่า "ยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด จักไม่เสด็จลุกขึ้นเพียงนั้น พระมังสะและพระโลหิตจะแห้งเหือดไป เหลือแต่พระตจะ พระนหารุ และพระอัฐิก็ตามที." ในสมัยนั้น พระยามารเกรงว่า พระมหาบุรุษจะพ้นจากอำนาจแห่งตน จึงยกพลเสนามาผจญ, แสดงฤทธิ์มีประการต่าง ๆ เพื่อจะยังพระมหาบุรุษให้ตกพระหฤทัยกลัวแล้วจะเสด็จหนีไป. พระองค์ทรงนึกถึงพระบารมี 10 ทัศ ที่ได้ทรงบำเพ็ญมา ตั้งมหาปฐพีไว้ในที่เป็นพยาน เสี่ยงพระบารมี 10 ทัศนั้นเข้าช่วยผจญ ยังพระยามารกับเสนาให้ปราชัย แต่ในเวลาพระอาทิตย์ยังไม่ทันอัสดงคตแล้วบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยาม, ได้ทิพพจักขุญาณในมัชฌิมยาม,ทรงใช้พระปัญญาพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ทั้งฝ่ายเกิดฝ่ายดับ สาวหน้าสาวกลับไปมาในปัจฉิมยาม, ก็ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณในเวลาอรุณขึ้น.
ในประพฤติเหตุเหล่านี้ ข้อที่จะพึงปรารภถึง มีแต่เรื่องผจญมาร. สันนิษฐานเห็นว่า เป็นเรื่องแสดงน้ำพระหฤทัยของพระมหาบุรุษโดยบุคคลาธิฏฐาน คือกล่าวเปรียบด้วยตัวบุคคล. กิเลสกามเปรียบด้วยพระยามาร, กิเลสอันเป็นฝ่ายเดียวกัน เปรียบด้วยเสนามาร. กิเลสเหล่านั้น เกิดขึ้นท่องเที่ยวอยู่ในจิตของพระมหาบุรุษ ให้นึกถึงความเสวยสุขสมบัติในปางหลังและทวนกลับ เปรียบด้วยพระยามารยกพลเสนามาผจญ. พระบารมี 10 ทัศนั้น คือ ทาน 1 ศีล 1 เนกขัมมะ คือความออกจากกามได้แก่บรรพชา 1 ปัญญา 1 วิริยะ 1 ขันติ 1 ความสัตย์ 1 อธิฏฐาน คือความมั่นคง 1 เมตตา 1 อุเบกขาคือความวางเฉยได้ 1 พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญพระบารมีเหล่านี้มา ทรงนึกถึงแล้ว ทำพระหฤทัยให้หนักแน่น เปรียบด้วยตั้งมหาปฐพี ไว้ในที่เป็นพยาน, ทรงเอาพระคุณสมบัติเห็นปานนั้น มาหักพระหฤทัยห้ามความคิดกลับหลังเสียได้เป็นเด็ดขาด เปรียบด้วยเสี่ยงพระบารมี ผจญมารได้ชัยชนะ. เรื่องนี้ได้ถอดใจความแสดงโดยธัมมาธิฏฐานกล่าวตามสภาพ จะพึงมีเช่นนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้พระปัญญาตรัสรู้ธรรมพิเศษ เป็นเหตุถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสาสวะจึงได้พระนามว่า “อรหํ” และตรัสรู้ชอบโดยลำพังพระองค์เอง จึงได้พระนามว่า “สมฺมาสมฺพุทฺโธ” 2 บทนี้เป็นพระนามใหญ่ของพระองค์ ได้โดยคุณนิมิตอย่างนี้แล
ปรินิพพาน
ในวันแห่งการปรินิพพานนั้นพระพุทธองค์ได้แสดง “ปัจฉิมโอวาท” โอวาทครั้งสุดท้าย โดยได้ประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราผู้พระตถาคตเตือนท่านทั้งหลายให้รู้ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมความฉิบหายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ให้บริบูรณ์ด้วยไม่ประมาทเถิด" อันนี้เป็นพระวาจาที่สุดแห่งพระตถาคตเจ้า สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค เสด็จประทม ณ พระแท่นที่ปรินิพพาน พระองค์ได้รวบรวมซึ่งโอวาททั้งปวงที่ได้ประทานแล้วสิ้น 45 พรรษานั้นลงในความไม่ประมาทอันเดียวนั้นแล ประทานแก่ภิกษุสงฆ์พุทธบริษัทในอวสานกาล ด้วยประการฉะนี้.
แต่นั้นพระองค์มิได้ตรัสอีกเลย ทรงทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุบุพพวิหารสมาบัติทั้ง 9 พระธรรมสังคาหกเถรเจ้าทั้งหลายแสดงไว้ดังนี้
อนุบุพพวิหารสมาบัติ
ลำดับนั้น สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ครบรูปาพจรสมบัติทั้ง 4 ตามลำดับนี้ ออกจากฌานที่ 4 แล้ว เข้า อรูปสมาบัติทั้ง 4 คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะอากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ตามลำดับ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ดับจิตตสังขาร คือสัญญาและเวทนา พระองค์ทรงเข้าอนุบุพพวิหารสมาบัติทั้ง 9 ด้วยประการฉะนี้.
ครั้งนั้นพระอานนท์ผู้มีอายุ ถามพระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธเถระว่า"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธะ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือ ?" "ดูก่อนอานนท์ผู้มีอายุ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังไม่ปรินิพพานก่อน พระองค์ทรงเข้าซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ."
ลำดับนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาค เสด็จอยู่ในนิโรธสมาบัติตามกาลที่พระองค์ทรงกำหนดแล้ว เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติแล้วเข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตนะ อากิญจัญญายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากสนัญจายตนะ เป็นปฏิโลมถอยหลังฉะนี้แล้ว เข้าสู่รูปาพจรฌานทั้ง 4 เป็นปฏิโลมตามลำดับคือจตุตถฌาน ตติยฌาน ทุติยฌาน ปฐมฌาน ครั้งเสด็จออกจากปฐมฌานแล้ว ก็ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติฌานแล้ว เข้าสู่ตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าสู่จตุตถฌาน เสด็จออกจากจตุตถฌานแล้ว พระองค์ปรินิพพานแล้ว ในลำดับแห่งความพิจารณาองค์แห่งจตุตถฌานนั้น ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาปุรณมี มหามงคลสมัยด้วยประการฉะนี้.
ครั้นเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ก็บังเกิดมหัศจรรย์แผ่นดินไหวใหญ่สะเทื้อนสะท้าน เกิดการโลมชาติชันสยดสยอง กลองทิพย์ก็บันลือลั่นสนั่นสำเนียงในอากาศ พร้อมกับปรินิพพานแห่งสมเด็จพระบรมโลกนาถสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นมหาโกลาหลในปัจฉิมกาล สำเร็จโดยธรรมดานิยมบันดาลให้เป็นไปในปรินิพพานสมัย ด้วยประการฉะนี้.
เมื่อสมัยพร้อมกับปรินิพพานแห่งพระผู้มีพระภาคนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ได้กล่าวคาถาแสดงความสังเวชและเลื่อมใสแห่งตนมีความว่า "บรรดาสัตว์ทั้งปวงถ้วนหน้า ไม่มีเหลือในโลก ล้วนจะทอดทิ้งซึ่งร่างกายไว้ถมปฐพี, ในโลกไรเล่า แต่องค์พระตถาคตซึ่งเป็นพระศาสดา ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดจะเปรียบปาน ทรงพระสยัมภูญาณตรัสรู้โดยลำพัง พระองค์ถึงซึ่งกำลัง คือทศพลญาณแล้ว ยังมิถาวรมั่นคงดำรงอยู่ได้ ยังมาดับขันธปรินิพพาน เสียแล้ว ควรจะสังเวชสลดนัก."
ฝ่ายท้าวโกสิยเทวราช ได้กล่าวพระคาถาความว่า "สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีเกิดขึ้นและเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ย่อมเกิดขึ้นและดับไป ไม่ยั่งยืนถาวรมั่นคงอยู่ได้ความที่สังขารนามรูปเบญจขันธ์เหล่านั้นระงับเสียมิได้เป็นไป นำมาซึ่งความสุขเหตุสังขารทุกข์ คือชาติชรามรณะมิได้มีมาครอบงำ." ฝ่ายพระอนุรุทธเถรเจ้าผู้มีอายุได้กล่าว 2 พระคาถา มีความว่า "พระพุทธเจ้า มีจิตอันยั่งยืนคงที่ในโลกธรรมทั้ง 8 ท่านไม่หวั่นไหวลมอัสสาสะหายใจก่อน และปัสสาสะหายใจกลับดับสิ้นไม่มีแล้ว พระมุนีโลกนาถมิได้หวั่นไหวสะทกสะท้านด้วยมรณธรรมอันใดอันหนึ่ง ทรงปรารภทำซึ่งสันติความระงับ คือนิพพานเป็นอารมณ์ทำแล้วซึ่งกาละอันใด อันพ้นวิสัยสามัญญสัตว์ พระองค์มีจิตมิได้สะทกสะท้านหดหู่พรั่นพรึงต่อมรณธรรมเลย ได้อดกลั้นซึ่งทุกขเวทนาด้วยสติสัมปชัญญะ อันสุดดี ความพ้นแห่งจิตด้วยอนุปาทิเสสนิพพานได้มีแล้ว ประหนึ่งประทีปอันไพโรจน์ชัชวาลดับไปฉะนั้น."
ฝ่ายพระอานนท์ได้กล่าวพระคาถามีความว่า "เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยอาการอันประเสริฐทั้งปวง ดับขันธปรินิพพานแล้ว มหัศจรรย์อันให้สยดสยองสะดุ้งหวาดและให้โลมชาติชูชัน ได้เกิดมีแล้ว ณ ครั้งนั้น ปรากฏแก่เทพดามนุษย์ทั้งหลาย." ท่านทั้ง 4 องค์ได้กล่าวคาถาแสดงความสังเวชแห่งตน ๆ ด้วยประการฉะนี้แล.
คาถาแสดงเรื่องปรินิพพาน แห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ควรเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวชและไม่ประมาทของสาธุชนบัณฑิตชาติผู้สดับโดยอ่อนน้อม จะให้หยั่งรู้สภาพปกติแห่งสังขาร โดยเป็นอนิจจตาทิธรรม มิได้มีความถาวรมั่งคงดำรงอยู่ได้ ล้วนเป็นของมีความพิโยคแปรผันเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา เพราะว่าอันอุปาทินนกสังขาร ร่างกายที่มีเวทนาสัญญาและเจตนาครองนี้ ย่อมตกอยู่ในวิสัยแห่งชรามรณะถ่ายเดียว มิได้มีผู้ใดล่วงพ้น แม้แต่องค์พระตถาคตทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศาสดาผู้ประเสริฐในโลกมิได้มีผู้ใดจะเปรียบปาน ยังมาเสด็จดับขันธปรินิพพาน มิถาวรดำรงอยู่ได้ ควรแล้วที่สาธุชนจะพึงมีความสังเวชและไม่ประมาทแสวงหาอุบายที่พึ่งแก่ตนในทางกุศลสัมมาปฏิบัติ อันจะสำเร็จเป็นมรรคาแห่งสุคติสวรรค์และนิพพาน ด้วยอำนาจแห่งอัปปมาทธรรมโดยกาลเป็นนิรันดร.
ธรรมเนียมการปฏิบัติในวันวิสาขบูชา
เมื่อวันวิสาขบูชาเวียนมาถึงในรอบปี พุทธศาสนาชนไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต (พระสงฆ์ สามเณร) หรือ ฆราวาส (ผู้ครองเรือน) ทั่วไป จะร่วมกันประกอบพิธีเป็นการพิเศษทำการสักการบูชาเพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณา พระปัญญาคุณ และพระวิสุทธิคุณ ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นดวงประทีปโลก เมื่อวันวิสาขบูชา ซึ่งตรงในวันเดียวกัน ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่งในรอบปี คือ เวียนมาบรรจบในวันเพ็ญวิสาขบูชา กลางเดือน 6 ปีนี้เป็นปีอธิกมาสจึงเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 7 ตรงกับวันศุกร์ที่์ 28 พฤษภาคม 2553 ชาวพุทธทั่วโลกประกอบพิธีสักการบูชา การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา แบ่งออกเป็น 3 พิธี คือ
1. พิธีหลวง (พระราชพิธี)
2. พิธีราษฎร์ (พิธีของประชาชนทั่วไป)
3. พิธีของพระสงฆ์ (คือพิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจเนื่องในวันสำคัญวันนี้) โดยพุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์จะประกอบพิธีตั้งแต่เช้าดังนี้
1. ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
2. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
3. ไปเวียนเทียน ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา
4. จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชา
5. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน วัดและสถานที่ราชการ ฯลฯ
เหตุการณ์ทั้งสามคือประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานแห่งองค์พระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ยังมีข้อปลีกย่อยอีกนานาประการ ที่พระอรรถกถาจารย์ได้รจนาไว้ มีนัยแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่สาระสำคัญมิได้คลาดเคลื่อนกันมากนัก ชาวพุทธทุกนิกายมักจะมีความเห็นตรงกันว่าวันวิสาขบูชาถือเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่ชาวพุทธควรระลึกถึงพระบรมศาสดาผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา ดังนั้นในแต่ละประเทศต่างก็พร้อมใจกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการหวลรำลึกถึงคุณูปการของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงนำสัจธรรมอันล้ำเลิศมาประกาศแก่ชาวโลก และถือเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนจะต้องช่วยกันธำรงรักษาพระธรรมให้คงอยู่เพื่อดับพิษร้อนแห่งกิเลสทั้งหลาย อันช่วยให้โลกอยู่ได้ด้วยสันติธรรมตลอดไป
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
เรียบเรียง
23/05/53
แหล่งอ้างอิง
กรมการศาสนา,พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง,กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์การศาสนา,2514.
วิชัย ธรรมเจริญ(รวบรวมและปรับปรุงต้นฉบับ),คู่มือนักธรรมชั้นตรี,กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์การศาสนา,2545.
วรนุช อุษณกร, ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์,2528.
สุภักดิ์ อนุกูล. วันสำคัญของไทย.กรุงเทพฯ : อักษรบัณฑิต,2530.
กรมศิลปากร, กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์. ขนมธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: 2525.
http://www.dhammathai.org
http://www.learntripitaka.com
http://www.banfun.com
http://www.mis.moe.go.th/intranet/punlada/daysthai.htm
http://www.mcu.ac.th/visakha/index.html
http://www.dhammathai.org