ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai



4. ความรักในพุทธปรัชญา  :   มุมมองจากปัจจุบันชาติ     (ปจฺจุปฺปนฺนหิเตน)
             ความรู้สึกรักที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยเพราะการช่วยเหลือเกื้อหนุนกันในปัจจุบันชาตินี้ นับว่าเป็นอะไรที่สังเกตหรือสัมผัสได้ง่ายทีเดียว โดยให้พิจารณามองดูจากการกระทำระหว่างกันและกันได้เลย กล่าวคือการจะประเมินหรือตัดสินว่าเขาหรือเธอคนนั้นมีความรู้สึกดี ๆ (รัก) กับเราก็สามารถดูได้จากพฤติกรรมภายนอกไปหาภายในใจของเขาหรือเธอได้ ไม่ว่าจะดูจากการกระทำทางกาย อาทิเช่น การช่วยเหลือเกื้อกูล หรือดูจากการพูดการจาก็ได้ เฉพาะที่ให้ดูจากการพูดนี้ก็พิจารณาได้ง่ายเช่นกัน เพราะคนที่รักกันจะมีคำพูดที่ประกอบด้วยความอ่อนหวาน (ยกเว้นผู้ที่พูดกระด้างจนเป็นนิสัย) ปราศจากการใช้วาจาที่รุนแรงหรือวาจาที่ทำลายน้ำจิตน้ำใจคนรัก ส่วนที่ให้ดูจากใจของเขานั้นว่ามีความรักต่อเราหรือไม่ก็ไม่ยากเหมือนกันคือก็ให้ดูจากการพูดและการกระทำของเขานั่นแหละ ถ้าเขาแสดงการไม่สนใจใยดีหรือเวลาสนทนาก็ให้น้ำหนักกับเราน้อยมาก นี้ก็แสดงให้เห็นว่าภายในใจเขาหรือเธอไม่มีคุณอยู่แน่นอน
             ความรักที่เกิดขึ้นจากการเกื้อหนุนกันในปัจจุบันชาตินี้ ถ้ามองจากหลักพุทธปรัชญาแล้วก็สามารถพิจารณาการเกิดได้เป็น 2 แนวทางเหมือนกัน กล่าวคือ  
             1. มองว่าเกิดจากจินตนาการภายในจิตใจหรือกิเลสภายในใจของเราเอง พูดให้สั้นเข้าก็คือคุณหรือผมเองถ้ารู้สึกว่ามีความยินดีเป็นพิเศษกับใครสักคนนั้น เราต้องยอมรับเป็นเบื้องต้นก่อนว่าการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกันนั้น สามารถทำให้เราสร้างจินตนาการไปต่าง ๆ ได้ โดยการจินตนาการนั้นจะแรงหรือเบาก็ขึ้นอยู่กับว่าเราประทับใจเขาหรือเธอมากน้อยเพียงใด ถ้าสนใจหรือจินตนาการถึงเขาหรือเธอในแง่ดีมาก ๆ ความรักก็จะรุนแรงเอาการอยู่เหมือนกัน 
             2. มองว่าเกิดจากการได้ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกันในปัจจุบันชาติ ประเด็นนี้ผู้เขียนขอยกน้ำหนักไปที่กรณีร่วมทุกข์ (ในพุทธปรัชญาถือว่าสุขคือนิยามหนึ่งของทุกข์)เป็นความรักที่ยั่งยืนที่สุด เพราะในความเป็นจริงของชีวิตแล้ว เราต้องยอมรับว่าความสุขเป็นอะไรที่ทุกคนต้องการ ส่วนความทุกข์เป็นอะไรบางอย่างที่ทุกคนไม่ต้องการประสบพบเจอ หรือต้องการหลีกหนีเสียให้ไกลถ้าเป็นไปได้ ฉะนั้น ความรักที่ผลิบานอยู่บนการมองเห็นหรือร่วมความทุกข์ระหว่างกันและกัน ผู้เขียนเชื่อว่าจะเป็นความรักที่มั่นคงมากกว่า อนึ่ง เพราะความรักที่เกิดจากการร่วมทุกข์ในปัจจุบันชาตินี้ เป็นอะไรที่มั่นคงกว่าความรักที่เกิดจากความสุขนี้ เราสามารถวัดดูได้จากกรณีความรักที่มีมุมมองดีเกินไป (มองโลกในแง่เดียว)

              กล่าวคือจริง ๆ แล้ว คนเรานั้นมีทั้งดีและชั่ว การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะมีความชั่วหรือดีอย่างเดียวนั้นนับว่าเป็นอะไรที่แปลกเอาการอยู่เหมือนกัน โดยพื้นฐานแล้วความดีและชั่วนี้เป็นอะไรที่ไม่ห่างกันสักเท่าไหร่ เพียงแค่ท่านทำดี ท่านก็จะไม่ชั่ว หรือเพียงแค่ท่านทำชั่ว ท่านก็จะไม่ใช่คนดี (ถ้าท่านไม่กลัว ท่านก็จะไม่กล้า เพราะท่านกลัว ท่านจึงมีความกล้า) ประเด็นนี้ได้มีนักปราชญ์ชื่อเอปิคเคตุสกล่าวเป็นสุนทรพจน์อย่างน่าจับใจไว้ว่า “ถ้าท่านอยากจะเป็นคนดีหละก็ อย่างแรกสุด ท่านต้องเชื่อก่อนว่าท่านยังเลวอยู่” (It you would be good, first believe that you are bad.)  เหมือนในกรณีการแก้ไขปัญหาสังคมทั่ว ๆ ไป ถ้าตราบใดเราไม่ยอมรับ เราก็จะไม่ลงมือทำ เช่น ถ้าประเทศไทยเราต้องการแก้ปัญหาโสเภณีหละก็อย่างแรกสุด ประเทศไทยเราต้องยอมรับก่อนว่าโสเภณีคือปัญหาที่เราต้องแก้ไข เพราะถ้าเราไม่ยอมรับว่าโสเภณีเป็นปัญหาเราก็จะไม่แก้ไขอยู่ดี เรื่องความรักนี้ก็เช่นกัน ถ้าอีกฝ่ายมองดูเฉพาะด้านเด่น (บวก) ของอีกฝ่ายเท่านั้น โดยไม่ยอมเรียนรู้ที่จะยอมรับด้านด้อย (ลบ) ของอีกฝ่าย  เพียงการมองเท่านี้ ผู้เขียนเชื่อว่าความรักที่เกิดจากการมองเพียงด้านบวกหรือดีด้านเดียวนั้นยังไม่ใช่การยอมรับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแท้จริง เพราะถ้าในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงบทบาทด้านลบเป็นบทเด่นแล้วหละก็สงสัยว่าความรักคงขาดสะบั้นอย่างมิต้องสงสัยกันต่อไป
             ฉะนั้น ความรักที่เกิดจากการช่วยเหลือหรือประคับประคองกันในปัจจุบันชาตินี้ ถ้าให้ผู้เขียนฟันธงลงไปว่าเป็นอย่างไรกันแน่ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวเสริมไว้ในที่นี้ก็คือความรักประเภทนี้หาความแน่นอนยากมาก เพราะเป็นความรักที่อาศัยการหนุนนำระหว่างกันและกันในปัจจุบัน มันเป็นเหมือนกับการเติมเต็มทางอารมณ์ให้แก่กันและกัน โดยการเติมเต็มนี้ต้องมีศิลปะในการเติมคือไม่เติมอารมณ์รักให้มากเกินไป หรือไม่เติมอารมณ์รักน้อยเกินไป เติมอารมณ์รักให้พอดี ๆ กล่าวคือเติมเสน่ห์ทางกาย วาจา และใจให้อยู่ตรงทางสายกลางเสมอ ไม่ใจร้อนเกินไป ไม่ใจเย็นเกินไป ส่วนถ้าถามว่าอย่างไรจึงจะถือว่าทำความรักให้พอดี คำถามนี้ผู้เขียนก็ขอให้เราท่านทั้งหลายที่มีความรักวัด หรือประเมินกันเองดีกว่าว่าจะเติมอารมณ์สักเท่าไหร่ (กี่ร้อยเล่มเกวียน) จึงจะพอดีกับคนที่เรารัก 

5. ความรักในพุทธปรัชญา : มุมมองจากทางสายกลาง   
             เราท่านทั้งหลายก็ทราบกันอยู่แล้วว่า เรื่องความรักนี้เป็นอารมณ์อะไรบางอย่างที่หาเหตุผลหรือหาบันทัดฐานในการตัดสินไม่ได้เลย กล่าวคือเมื่อมีใครบางคนที่คุณรู้จักเริ่มมีความรักกับใครบางคน เราซึ่งเป็นบุคคลที่สามหรือเป็นคนภายนอกรักจะนำความคิดหรือเหตุผลของเราไปเสนอแนะหรือตัดสินนั้นยากเต็มที เขาและเธอรักกันเพราะทั้งสองมีเหตุผลที่เข้ากันได้ ซึ่งนั่นก็คือเขาทั้งสองมีอุดมการณ์ที่ไปในทิศทางเดียวกัน พูดง่าย ๆ ก็คือพูดภาษา (รัก)แบบเดียวกันนั่นเอง เป็นต้นว่าเขาชี้นกเป็นไม้ เธอก็ต้องบอกว่าเป็นไม้ ตรงกันข้าม ถ้าเขาชี้นกบอกว่าเป็นไม้ แต่เธอกลับบอกว่าเป็นนกอยู่ คงไม่ต้องให้ผู้เขียนพูดนะว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา
             อนึ่ง ในทางพุทธปรัชญามีคำตอบให้สำหรับเรื่องความรักนี้เหมือนกันกับกรณีอื่น ๆ เช่นกัน ถึงแม้ว่าพุทธปรัชญาในความเป็นจริงแล้วจะเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเรื่องของคำสอนของท่านผู้ประกอบด้วยเหตุผลที่สุดก็ตาม  อันที่จริงเรื่องความรักนี้เป็นเรื่องที่ประกอบด้วยเหตุผลก็ใช่จะว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผลก็ได้ ส่วนทางด้านพุทธปรัชญาเมื่อกล่าวถึงที่สุดแล้วก็ยังมีคำตอบให้กับทุกเรื่องเสมอ และเรื่องความรักนี้พุทธปรัชญาก็มีคำตอบให้ไว้ดังนี้ 

             1. ให้มองเห็นถึงความแตกต่างด้านวัตถุสิ่งของ กล่าวคือเราต้องยอมรับว่าเป็นกฎสากลเลยทีเดียวว่า คนเราเกิดมาแล้วการที่จะให้ทุกคนมีฐานะทางสังคม (เฉพาะด้านวัตถุ) เสมอเหมือนกันหมดนั้นคงเป็นเรื่องที่ยากเต็มที ซึ่งถ้าเราเข้าใจในประเด็นนี้ สถานภาพทางสังคมก็จะมาปิดกั้นความรักมิได้เลย ความรักที่ทุกคนมองว่าเป็นความรักที่สากลก็จะกลายเป็นเรื่องที่สากลจริง ๆ มิฉะนั้นแล้ว ความรักก็จะกลายเป็นแค่เครื่องหมายแห่งการแข่งขันทางวรรณะในสังคมได้อีกวิธีหนึ่ง 
             2.ให้มองเห็นถึงความแตกต่างด้านคุณธรรม กล่าวคือตามหลักพุทธปรัชญามีคำสอนว่าคนเราจะสามารถผูกรักปักสวาทกับเพศตรงข้ามได้ดี เพราะมีความเสมอภาคต่อกันและกันในคุณธรรม 4 ประการต่อไปนี้ 
             1. มีความเชื่อที่เสมอกัน (สัทธา) ได้แก่ มีศรัทธาในความจริงสูงสุดเหมือนกัน นับถือในบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน มีวัฒนธรรมในการกิน เที่ยว พูด ดื่ม ละเล่น และนอนเหมือน ๆ กัน 
             2. มีความบริสุทธิ์เสมอกัน (สีละ) ได้แก่ มีความสะอาดเหมือนกัน กล่าวคือมีความสะอาดทางกาย อันประกอบด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในลูกเมียสามีของคนอื่น มีความสะอาดทางวาจา อันประกอบไปด้วยการไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ และมีความสะอาดทางใจ ซึ่งประกอบไปด้วยความไม่ละโมบโลภมาก ไม่พยาบาทปองร้ายคนอื่น และการไม่เห็นผิดแผกไปจากทำนองคลองธรรม พูดให้ง่ายเข้าก็คือมีพฤติกรรมทางกาย วาจา และทางความคิดไม่แตกต่างกัน 
             3. มีการบริจาคเสมอกัน (จาคะ) ได้แก่ มีการเสียสละในบางสิ่งบางอย่างเสมอเหมือนกัน ไม่ใช่คนหนึ่งตระหนี่ถี่เหนียว ส่วนอีกคนหนึ่งบริจาคแล้วบริจาคเล่า นี่ก็ถือว่ามีความขัดแย้งกันทางการบริจาคแน่นอน 
             4.มีเหตุผลเสมอกัน (ปัญญา) ได้แก่ มีความรู้หรือมีการศึกษาไม่ห่างกัน อนึ่ง ถ้าพูดให้ทันยุคทันสมัยหน่อยก็คงต้องกล่าวว่ามีวุฒิบัตร เกียรติบัตร หรือปริญญาบัตรรับรองเหมือนกัน เช่น จบปริญญาโทเหมือนกัน เป็นต้น ไม่ใช่คนหนึ่งจบปริญญาเอก แต่อีกคนจบชั้นประถมศึกษาปีที่  4 การพูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าผู้เขียนดูถูกดูแคลนผู้จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แต่ผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นในที่นี้ว่าปัญญา หรือปริญญาก็มีส่วนต่อการตัดสินใจรักใครสักคนก็ได้ ฉะนั้น นับว่าเป็นเรื่องยากเต็มทีที่จะหาคนที่มีคุณธรรมครบทั้ง 4ประการเหมือนกัน ในที่นี้ผู้เขียนจึงของเสนอว่าแค่มีความเข้าใจถึงอีกคนว่ามีความแตกต่างกันในแง่คุณธรรมก็ถือว่าดีพอสมควรแล้ว

6. ผลสรุป
             ตามที่กล่าวมาทั้งหมด ก็คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าความรักก็คือความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เขาหรือเธอมอบให้แก่กันและกัน โดยเหตุผลตามหลักพุทธปรัชญาแล้ว    ความรักจะเกิดขึ้นแก่เขาและเธอได้ก็เพราะอาศัยเหตุปัจจัย   2  ประการ คือ 
             1. เพราะเคยร่วมสร้างกรรม (ดีหรือชั่ว) ในอดีตชาติ และ 
             2. เพราะได้ประกอบกิจกรรมดีหรือไม่ดีในปัจจุบันชาติร่วมกัน แต่ผู้เขียนเข้าใจว่ากิจกรรมดีเท่านั้นจึงจะสามารถคงความรักไว้ได้นานที่สุด (ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ปจฺจุปฺปนฺนหิเตน วา เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปฺปลํว ยโถทเกติ) ดังนั้น โดยภาพรวมแล้ว ความรักไม่ว่าจะเป็นรักแบบมีอดีตชาติหนุนนำหรือรักแบบมีปัจจุบันชาติส่งเสริม ก็ถือได้ว่าเป็นที่น่ายินดีทั้งนั้น แต่ท้ายสุดแล้วความรักที่ประกอบด้วยเหตุผลหรือปัญญาเท่านั้น จึงจะเป็นรักที่สวยงาม เป็นรักที่อ่อนหวานนิ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง เป็นรักที่ช่วยส่งเสริมคุณค่าให้กับจิตวิญญาณอย่างแท้จริง เป็นรักที่จริงจังจริงใจ เป็นรักที่มีอุดมการณ์ที่สมบูรณ์แบบ และเป็นรักที่เป็นอมตะที่สุด 


 

P.M. Amatmontree
ที่มา:  
http://www.thaitsg.net/
14/10/53

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก