โครงสร้างการบริหารของคณะสงฆ์เถรวาทในอินโดนีเซีย
วันที่ 2 พฤษภาคม 2553 คณะสงฆ์ไทยมีสมเด็จพระวันรัตเป็นประธาน ได้ร่วมประชุมกับคณะสงฆ์เถรวาทแห่งอินโดนีเซีย ทำให้ได้ทราบข้อมูลล่าสุดว่า “คณะสงฆ์เถรวาทในอินโดนีเซียปัจจุบันที่สำคัญมีสองกลุ่มคือคณะสงฆ์อินโดนีเซียและคณะสงฆ์ไทย
คณะผู้บริหารคณะสงฆ์ในปัจจุบันมีพระปัญญาวราภรณ์(ศรี ปัญญาวโรมหาเถระ)ดำรงตำแหน่งสังฆปาโมกข์ พระศรี สุพลรตโนมหาเถระเป็นอุปสังฆปาโมกข์ พระสุเขโมมาหเถระเป็นอธิกรณนายก พระธัมมสุโภเถระเป็นประธานคณะสงฆ์ผู้อาวุโส(เถรนายก) พระโชติธัมโม เป็นสังฆนายก การกสังฆสภา นอกจากนั้นยังมีอีกหลายตำแหน่งเช่นด้านการศึกษา สังคมวัฒนธรรม ธุรการสมาคม เลขานุการ ภัตตุเทสสังฆทาน ผู้ที่ไม่คุ้นเคยฟังแล้วอาจมึนงง แต่การบริหารของคณะสงฆ์เถรวาทแห่งอินโดนีเซียมีการจัดตั้งองค์กรยังเมืองต่างๆมีพระเถระทำหน้าที่คล้ายๆเจ้าคณะจังหวัดในประเทศไทย ปัจจุบันในอินโดนีเซียมีเจ้าคณะจังหวัดถึง 23 จังหวัดเช่นพระสิริรตโนเป็นเจ้าคณะจังหวัดสูลเวสีใต้เป็นต้น
คณะสงฆ์อีกกลุ่มหนึ่งคือพระธรรมทูตจากประเทศไทยก้มีการจัดตั้งองค์กรคล้ายกัน ปัจจุบันมีพระครูประกาศธรรมนิเทศ (วงศ์สิน ลาภิโก)เจ้าอาวาสวัดวิปัสสนาคราหะ บันดุง เป็นประธานกรรมการบริหารคณะพระธรรมทูตไทยในอินโดนีเซีย พระมหาวิรัตน์ เขมจารี สำนักสงฆ์พุทธบารมี ปังกัลปีนัง เป็นเลขานุการฯ
พระครูประกาศธรรมนิเทศเล่าให้ที่ประชุมฟังถึงกิจกรมของคณะพระธรรมทูตไทยตอนหนึ่งสรุปว่า “พระธรรมทูตไทยในอินโดนีเซียมีผลสืบเนื่องมาจากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตสี่รูปที่เดินทางมายังอินโดนีเซียครั้งแรก ที่อยู่นานที่สุดคือพระราชวราจารย์หรือที่ชาวอินโดนีเซียมักเรียกติดปากว่า “ภันเตวิญญ์” ท่านได้สร้างวัด ที่พักสงฆ์ สำนักสงฆ์ไว้มากมายหลายแห่ง ในแต่ละปีจะมีพระธรรมทูตจากประเทศไทยไปจำพรรษาในสำนักเหล่านั้น ปัจจุบันพระธรรมทูตไทยในอินโดนีเซียมีอยู่ประมาณ 23 รูป แต่ละรูปต่างก็ทำหน้าที่เผยแผ่พุทธศาสนาตามจังหวัดต่างๆ ในส่วนของคณะสงฆ์ไทย นอกจากจะมีการเทศน์และการแสดงธรรมเป็นประจำแล้ว ยังมีโรงเรียนธรรมวิทยาเป็นโรงเรียนสายสามัญเปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงปริญญาตรี เป็นกิจกรรมของชาวพุทธซึ่งจัดตั้งขึ้นบริหารงานโดยสมาคมชาวพุทธ ตั้งอยู่ห่างจากสนามบินซูการ์โน-ฮัตตาประมาณ 4 กิโลเมตรหรือห่างจากกรุงจากาต้าร์ 30 กิโลเมตร ปัจจุบันมีนักเรียน1200 คน นักเรียนนับถือพระพุทธศาสนา 1220 คน พระธรรมทูตไทยมีเป้าหมายที่จะปลูกฝังศีลธรรมแก่นักเรียนที่เป็นชาวพุทธเหล่านี้ ในอนาคตอาจจะมีการสอบธรรมศึกษาขึ้นที่โรงเรียนแห่งนี้”
ปัจจุบันโรงเรียนธรรมวิทยา มีพระครูประกาศธรรมนิเทศ เป็นประธานกรรมการบริหารโรงเรียน นักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ เมื่อพระสงฆ์ไทยไปเยือนต่างก็ให้การต้อนรับด้วยมรรยาทชาวพุทธเช่นยกมือไหว้กล่าวคำทักทายว่า “สาธุ ภันเต” แต่ถ้าตั้งใจฟังให้ดีก็จะฟังเป็น “สาตุ ภันเต” เนื่องจากภาษาอินโดนีเซียไม่มีตัว ท และ ธ ใช้เสียง ต แทน
นอกจากคณะสงฆ์สองกลุ่มที่มีการจัดตั้งองค์กรในการบริหารที่ชัดเจนแล้วยังมีพระสงฆ์อีกหลายกลุ่มเช่นพระชินนธัมโม ที่ได้รับการอุปสมบทครั้งแรกที่บรมพุทโธ ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพระเถระรูปนี้ ทราบเพียงว่ายังมีชีวิตอยู่
พระภิกษุชาวอินโดเซียอีกกลุ่มหนึ่งที่อุปสมบทจากประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี อยู่ร่วมสังกัดทั้งสองคณะคือทั้งอินโดนีเซียและไทย พระอุลลี อุคคธมโม ได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า “ผมเกิดที่จากาต้าร์ พื้นฐานดั้งเดิมผมเป็นคริสต์ อยู่มาวันหนึ่งได้อ่านหนังสือหลวงพ่อชา เกิดความสนใจขึ้นมา เพราะหนังสืออย่างนี้เกิดมาไม่เคยอ่าน จากนั้นมาจึงเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาจากหนังสือต่างๆเช่นประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่เทสก์ หลวงตามหาบัว จนมีความเข้าใจพระพุทธศาสนาในระดับหนึ่ง เมื่อเรียนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีแล้วจึงเดินทางมาประเทศไทย เดินทางไปหลายจังหวัดได้พบกับพระภิกษุชาวอินโดนีเซียอีกหลายท่าน ในที่สุดก็อุปสมบทที่จังหวัดบุรีรัมย์ ผมมองว่าพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซียกำลังเจริญ เพราะยังมีชาวพุทธอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ที่นี่ทำงานหนักมาก”
สอดคล้องกับพระคำใส สุมโน พระธรรมทูตไทยที่อยู่ประจำในอินโดนีเซียมานานมากกว่าสิบปีแล้ว จนสามารถแสดงธรรมเป็นภาษาอินโดนีเซียได้ ท่านเล่าว่า “ต้องเดินทางไปแสดงธรรมทุกวัน บางวันสามสี่งานก็มี ทั้งในหมู่บ้าน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ต่างก็ต้องการศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนา แต่บุคคลากรที่ที่เผยแผ่มีน้อย แม้ว่าพระสงฆ์ไทยที่อยู่ที่นี่เกินกว่าหนึ่งปีจะพูดสื่อสารด้วยภาษาพื้นเมืองได้ แต่การแสดงธรรมต้องใช้ความชำนาญพิเศษ เพราะที่ประเทศนี้ต้องอธิบายธรรมเป็นภาษาอินโดนีเซียเท่านั้น บางครั้งมีความจำเป็นเมื่อชาวบ้านเดือดร้อนมาหานิมนต์ให้ไปไล่ผีก็ต้องทำ ที่นี่ผีเข้าสิงคนบ่อยมาก บางครั้งเข้าสิงพร้อมๆกันเป็นกลุ่มสิบยี่สิบคนก็มี บางครั้งต้องใช้เวลาเดินทางเป็นวันเพื่อไปแสดงธรรม”
นอกจากคณะสงฆ์เถรวาทแล้วอินดีเซียยังมีพระสงฆ์มหายานอีกจำนวนหนึ่ง เผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองต่างๆ แต่เมื่อมีกิจกรรมก็จะมาร่วมงานกันได้
ส่วนหนึ่งที่ไม่เป็นพระสงฆ์แต่ดำเนินกิจการทางศาสนาโดยการจัดตั้งเป็นสมาคม มูลนิธิซึ่งมีอยู่เป้นจำนวนมากเช่นพุทธสมาคมบัณฑิตแห่งอินโดนีเซีย พุทธสมาคมบัณฑิตเถรวาทแห่งอินโดนีเซีย พุทธสมาคมบัณฑิตมหายาน สมาคมตรีธรรมะอินโดนีเซีย พุทธสมาคมไมตรียะแห่งอินโดนีเซีย เป็นต้น