นักท่องเที่ยวคนอื่นเพียงแต่เดินชมความงามจากภาพแกะสลักและทิวทัศน์รอบๆอาณาบริเวณ แต่หลวงตาไซเบอร์เดินเวียนขวารอบองค์เจดีย์พร้อมกับถ่ายภาพแกะสลักเหล่านั้นทุกช่องประตู จากชั้นแรกจนถึงชั้นที่สามผ่านไปด้วยดีเพราะความเพลิดเพลินกับการเสพสุนทรียของภาพแกะสลักยังมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่พอเริ่มชั้นที่สี่แขนเริ่มล้าตาเริ่มพร่า จึงค่อยๆเดินลงมายังฐานของเจดีย์
หนังสืออินโดนีเซียได้บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า “บรมพุทโธทั้งหมดมีสิบชั้น ใช้แทนภพทั้งสามของจักรวาลตามความเชื่อของพระพุทธศาสนานิกายมหายานคือกามภพ รูปภพ และอรูปภพ รูปนูนแกะสลักขั้นล่างสุด แสดงให้เห้นถึงความปีติของโลกนี้และการถูกทำโทษด้วยการลงนรกในโลกหน้า ห้าชั้นถัดไป (ทางเดินรอบองค์และเฉลียงรอบสี่ชั้น) มีภาพสลัก (เริ่มจากบันไดตะวันออกไล่ไปรอบเฉลียงตามเข็มนาฬิกา) ภาพเจ้าชายสิทธัตถะสู่การเป็นพระพุทธเจ้า นิทานชาดก เรื่องราวของพระองค์ในชาติก่อนและชีวิตของพระโพธิสัตว์สุธนะ(จากกันดะวยุหะ) ซึ่งแสดงไว้บนแผ่นหินพร้อมภาพสามัญชน เจ้าฟ้า นักดนตรี นางรำและนักบุญ และมีรายละเอียดด้านชาติพันธุ์วิทยาเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของชวาโบราณที่น่าสนใจในโพรงเหนือเฉลียงรอบมีพระพุทธรูปหิน 432 องค์ในปางทั้งห้าคือขอให้ธรณีเป็นพยาน แสดงทาน สมาธิ กล้าหาญและปัญญา เหนือเฉลียงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีลานกลมสามระดับ ประดับด้วยเจดีย์สร้างตามแบบพุทธศิลป์ 72 องค์ ส่วนใหญ่พระพุทธรูปสลักทรงเข้าฌาน แต่มีอยู่สององค์ที่อยู่กลางแจ้งและทอดพระเนตรไปยังภูเขาเมอโนเระห์ที่อยู่ใกล้กัน แท้จริงแล้วลานทั้งสามนี้คือขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านที่นำไปสู่ชั้นที่สิบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนภพสูงสุดคืออรูปภพ(ศิริพร โตกทองคำ,อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์สู่โลกกว้าง,2549,หน้า 149)
ประเทศอินโดนีเซียหรืออาณาจักรชวามีโบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนาจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงในอดีตพระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้มาก่อนดังที่เอลซา ไซนุดิน บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า “อาณาจักรต่างๆในชวาทิ้งโบราณวัตถุทั้งหลายอย่างหรูหราไว้เป็นอันมาก ในระหว่าง ค.ศ. 750 -850 มีการสร้างปูชนียสถานในพระพุทธศาสนาที่น่าประทับใจที่สุดในชวากลางคือเจดีย์บุโรพุทโธซึ่งยังคงอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เจดีย์บุโรพุทโธแสดงให้เห็นแบบการก่อสร้างที่แสดงความคิดทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับจักรวาล และตามภาพแกะสลักอันยาวเหยียดรอบระเบียงทั้งสี่ด้านก็เป็นภาพพุทธประวัติทั้งสิ้น (เอลซา ไชนุดิน(เพ็ชรี สุมิตร แปล),ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย,2552,หน้า 59)
หนังสือประวัติศาสตร์อินโดนีเซียยังกล่าวถึงเจดีย์บรมพุทโธไว้อย่างน่าสนใจว่า “มีผู้มองบุโรพุทโธมิใช่เป็นเพียงตัวแทนของพุทธจักรวาลและเป็นทาง 10 ขั้นเพื่อบรรลุนิพพานอันสูงสุดเท่านั้น แต่ยังมีความผูกพันกับในอดีตกาล ดังนั้นบุโรพุทโธเองจึงมิใช่เป็นสถูปในความหมายดั้งเดิมคือเป็นสถานที่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า แต่เป็นสถานที่บรรจุพระศพกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทรที่ถวายพระเพลิงและฝังพระศพไว้บนพื้นฐานชั้นต้นๆของสิ่งก่อสร้างนี้ จึงเท่ากับผูกโยงปูขนียสถานในพระพุทธศาสนาไว้กับการบูชาบรรพบุรุษรุ่นเดิม และเจดีย์ยอดแหลมอันกว้างขวางแบบอินโดนีเซียแท้ๆ ในสมัยก่อนได้รับอิทธิพลฮินดูและพระพุทธศาสนา(ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย,หน้า 61)
ส่วนรูปลักษณ์ของเจดีย์นั้นได้อธิบายไว้ว่า “เจดีย์บุโรพุทโธสร้างเป็นรูปโดมใหญ่หรือเป็นสถูปรอบๆเขาเตี้ยๆ เป็นสัญลักษณ์ของจักรวาลดังที่สาวกของพระพุทธเจ้าแลเห็น ใต้ฐานเจดีย์เป็นรูปแกะสลักภาพนูนแสดงให้เห็นโลกของความใคร่และตัณหา คนดีจะได้รับรางวัลด้วยการไปเกิดใหม่ในชีวิตที่ดีกว่า และคนชั่วจะได้รับโทษไปเกิดใหม่ในที่ต่ำกว่า ที่แปลกก้คือผู้สร้างที่ได้แกะสลักภาพเหล่านี้แล้วกลับนำเอาก้อนหินไปปกปิดภาพเหล่านั้นเสีย ตามระเบียงทั้งสี่ด้านที่อยู่สูงขึ้นไปจากชั้นนี้เป็นชั้นๆขึ้นไปแสดงให้เห็นโลกของรูปในแบบต่างๆ หากเราเดินเลี้ยวซ้ายจากบันไดกลางเราเดินรอบลานกว้างและด้านบนระเบียงที่ไม่มีหลังคา มีลูกกรงอยู่ทางซ้ายและมีจารึกคำสอนหลักอยู่บนฝาผนังด้านใน พร้อมด้วยภาพพุทธประวัติในระยะต่างๆ ที่ทรงแสวงหาทางตรัสรู้อีก 1300 ภาพประกอบอยู่ หลังจากเดินเป็นระยะทางสามไมล์แล้ว เราก็พ้นจากโลกของรูปต่างๆออกไปยังโลกที่ปราศจากรูป มีลานกลมกว้างไม่มีขอบเขตสามระดับ มีสถูปหินถึง 72 สถูปเรียงรายอยู่โดยรอบคือสถูปเล็กเรียงรายอยู่รอบสถูปใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง และเราจะมองผ่านหุบเขาที่เขียวชอุ่มไปยังเทือกเขาที่แวดล้อมเรียงเป็นวงอยู่รอบด้าน เป็นอาณาบริเวณที่น่าชมอย่างยิ่ง (หน้า 60)
อ่านคำอธิบายจากหนังสือกับการที่ได้ประสบด้วยตนเองต้องยอมรับว่าแม้บางส่วนจะไม่เหมือนในตำรา แต่บางส่วนก็มีความใกล้เคียง สถูปเล็กๆรอบๆองค์เจดีย์นั้นบรรจุพระพุทธรูปไว้ข้างในจำนวนมากและนักท่องเที่ยวมักจะเอามือลอดลูกกรงไปจับต้องพระหัตถ์หรือพระบาทพระพุทธรูปที่อยู่ภายใน ขณะที่มัคคุเทศก์ท่องบทสวดมนต์ให้ฟัง สถูปองค์กลางที่อยู่บนยอดสูงสุดนัยว่าแสดงให้เห็นนิพพานอันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความว่างเปล่า
บนยอดเจดีย์เหมือนกับเป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับโลกหน้า ยอดเจดีย์มุ่งตรงไปยังท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เมื่อเดินทางจากฐานเจดีย์มาถึงยอดเจดีย์เหมือนกับจะเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าได้มาถึงจุดระหว่างสองโลกแล้ว
วันนั้นการเดินทางยังมีต่อแต่การชมความมหัศจรรย์ของเจดีย์ต้องยอมรับว่าศรัทธาของชาวพุทธในอดีตนั้นต้องมีมากจึงสามารถสรรสร้างมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่อย่างบูโรบูดูร์หรือบรมพุทโธฝากไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชื่นชม อีกอย่างหนึ่งแสดงให้เห็นถึงพระพุทธศาสนาต้องเคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้ในอดีตมาก่อน ก่อนที่จะเลือนหายไปแต่ด้วยผลใดนั้นคงหาคำตอบได้ไม่ง่ายนัก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
11/05/53
อ้างอิง
ศิริพร โตกทองคำ,อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์สู่โลกกว้าง,2549.
เอลซา ไชนุดิน(เพ็ชรี สุมิตร แปล),ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย,2552.