ในโลกมนุษย์มีสิ่งมหัศจรรย์มากมายทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและที่เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของฝีมือมนุษย์ ในบรรดาเจดีย์ทางศาสนาอาจมีจำนวนมากเช่นนครวัดนครธมโบราณสถานในศาสนาฮินดู แต่เจดีย์พระพุทธศาสนาที่ถือว่ามีขนาดใหญ่โตที่สุดต้องนึกถึงบุโรบูดูร์หรือบรมพุทโธ มหาเดีย์นี้มิได้เกิดในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาแต่ปรากฎขึ้นในประเทศที่ได้ชื่อว่ามีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามมากที่สุดในโลกนั่นคืออินโดนีเซีย
เช้าวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม 2553 วันที่ท้องฟ้าอากาศสดใสไร้เมฆบัง แสงแดดอ่อนๆเริ่มสาดส่องมากระทบกับเจดีย์บุโรโบดูร์(Borobudur)ในภาษาอินโดนีเซีย ส่วนคนไทยมักนิยมเรียกว่า “บรมพุทโธ” ซึ่งหมายถึงเจดีย์พระพุทธศาสนาที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก ผู้คนจากทุกสารทิศไม่เลือกว่าเป็นชาติหรือศาสนาใดต่างก็พยายามมาให้ถึงมหาเจดีย์แห่งนี้ แทบทุกคนที่มาเยือนต่างก็พยายามปีนป่ายขึ้นไปสู่ยอดที่สูงที่สุด มีภาษิตอินโดนีเซียบทหนึ่งว่า “ไม่มีภูเขาใดที่ไม่อาจปีนข้ามไม่ได้ ไม่มีหุบเขาใดที่ข้ามไม่ได้” นั่นหมายความว่าถ้าพยายามแล้วงานทุกอย่างย่อมสำเร็จได้
เว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนารามนั่งเครื่องบินสายการบินแอร์เอเชียมุ่งหน้าสู่ย็อกจากาต้าร์หรือคนพื้นเมืองนิยมเรียกว่าย็อกย่า ผ่านพิธีการจากสนามบินแล้วเรียกรถแท็กซี่มุ่งหน้าสู่ศูนย์สมาธิภันเตวิญญ์หรือชื่อทางการตามภาษาอินโดนีเซียว่าPondokMeditasi Borobudur Dusun Barepan Desa Wonorejo Borobudur-Jawa Tengah ชื่อยาวมากแต่แท็กซี่ก็เดินทางไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัยในอัตตาค่าโดยสารฟังแล้วสะดุ้งคือ 250,000 รูเปียร์ ถึงจุดหมายมีอากุสให้การต้อนรับจัดหาที่พักให้ จากนั้นได้แจ้งจุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ว่าพรุ่งนี้จะเดินทางไปยังบูโรบูดูร์ ปัญหาที่ตามมาคืออากุสพูดได้ภาษาเดียวคืออินโดนีเซีย หลวงตาต้องมึนงงเสียเองจะทำอย่างไรจึงจะสื่อสารกันรู้เรื่อง ยังดีที่มีหนังสือภาษาอินโดนีเซียเบื้องต้นติดมาด้วย เวลาผ่านไปชั่วครู่จึงเริ่มสื่อสารกันรู้เรื่องบ้าง คืนนั้นทั้งคืนจึงได้เปิดหนังสือภาษาอินโดนีเซียและท่องจำไว้เพื่อใช้ในวันรุ่งขึ้น
รุ่งเช้าหลังจากสวดมนต์เสร็จอากุสและดารภรรยาได้จัดหาอาหารถวายมีปลากระป๋องและผักต้มไข่ทอด แต่อาหารวันนั้นอร่อยที่สุด เพราะคนทำและคนทานยังพูดกันไม่รู้เรื่อง เจ็ดโมงสามสิบนาที อากุสพานั่งรถมอเตอร์ไซต์ไปยังบูโรบูดูร์ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักประมาณสามร้อยเมตรเท่านั้น เช้าวันนั้นจึงเป็นคนแรกที่ซื้อตั๋วราคา 130,000 รูเปียร์เดินทางเข้าไปชมมหาเจดีย์ แดดยามเช้าสาดส่องต้ององค์เจดีย์สวยงามเป็นอย่างยิ่ง ถ่ายภาพกับอากุสเป็นที่ระลึกสองสามภาพจากนั้นจึงบอกให้แกเดินทางกลับ หลวงตาจึงเดินเดี่ยวมุ่งหน้าสู่มหาเจดีย์บูโรบูดูร์อย่างสบายใจ ในที่สุดก็มาถึงเจดีย์จนได้
หนังสือหน้าต่างสู่โลกกว้างอินโดนีเซียระบุไว้ว่า “บรมพุทโธหรือโบโรบูดูร์ อยู่ห่างจากย็อกจาการ์ต้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นสถูปขนาดใหญ่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ไสเลนทร์ในชวากลางเมื่อราวปี 778-856 หรือก่อนนครวัด 300 ปี โบราณสถานและบรมพุทโธได้ถูกทอดทิ้งภายหลังจากสร้างเสร็จไม่ถึงหนึ่งศตวรรษ (ศิริพร โตกทองคำ,อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์สู่โลกกว้าง,2549,หน้า 148)
ถ่ายภาพไปเดินไปในที่สุดก็ขึ้นถึงยอดเจดีย์ มองลงมาข้างล่างเห็นผู้คนกำลังทยอยกันปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเจดีย์อย่างมุ่งมั่น มองจากเบื้องบนลงมาข้างล่างบรมพุทโธมีลักษณะเป็นรูปวงกลมล้อมรอบจัตุรัส แต่ถ้ามองจากพื้นดินในระยะไกล บรมพุทโธคือสถูปซึ่งเป็นรูปแบบของจักรวาลที่มีส่วนประกอบในแนวตั้งสามส่วนด้วยกันคือ ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสรองรับองค์สถูปและยอดฉัตร ถ้าเดินตามเส้นทางแสวงบุญเก่าแก่จากทางตะวันออก ก้าวขึ้นอนุสรณ์สถานที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ และมีเฉลียงรอบ เดินวนรอบเฉลียงตามเข็มนาฬิกา จะเห็นว่ารูปนูนแกะสลักและรูปปั้นทุกชิ้นล้วนเป็นส่วนสำคัญขององค์เจดีย์
รูปแกะสลักเหล่านี้หากไม่รู้ที่ไปที่มาไม่มีทางเข้าใจ จากยอดเจดีย์ชั้นสูงสุดลงมาเมื่อได้พบกับภาพแกะสลักที่งดงามในสายตาของคนรักศิลปะ นักท่องเที่ยวคนอื่นๆเพียงแต่เดินผ่านไป มีบางคนยังสงสัยว่าภันเตรูปนี้บ้าหรืออย่างไรมาถ่ายภาพแกะสลักที่ดูเหมือนกันแทบทุกช่องกลางแดดที่ร้อนเปรี้ยงอย่างนี้ บางคนถึงกับมาขอถ่ายภาพกับคนถ่ายภาพ ไม่เว้นแม้แต่หนุ่มสาวอิสลาม คนที่นี่ไม่มีปัญหาในด้านความขัดแย้งทางศาสนา คุณจะนับถืออะไรก็ได้ขอเพียงให้มีสิ่งที่นับถือก็พอ ดังนั้นอินโดนีเซียนอกจากจะเป็นประเทศที่หลากหลายทางเชื้อชาติแล้ว ยังเป็นประเทศที่ให้อิสระทางด้านการนับถือศาสนาอีกด้วย บางคนพยายามถามว่านี่มันคือภาพอะไร ภันเตก็ตอบไม่ได้ ได้แต่เงี่ยหูคอยสดับไกด์ชาวท้องถิ่นที่พยายามอธิบายความสำคัญของภาพต่างๆให้ฝรั่งฟัง จำได้อยู่ตอนหนึ่งคล้ายๆกับว่า “ภาพนี้เป็นภาพนางสิริมหามายา พระราชมารดาของพระพุทธเจ้าที่ประสูติพระโอรสกลางป่า มีเทวดามาหลั่งน้ำทักษิโณทกเพื่อชำระล้างพระวรกายของเจ้าชายน้อย” ภันเตพยายามเพ่งมอง แต่ก็ยังไม่ทะลุจินตภาพในเชิงลึกเพราะในชั่วขณะเวลานั้นกำลังแดดกล้าเริ่มหิวน้ำอย่างหนัก
ตะวันยิ่งสูงขึ้นความร้อนยิ่งทวีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าเสน่ห์ของภาพแกะสลักได้สยบไอร้อนของเปลวแดด หลวงตายังคงมุ่งหน้าถ่ายภาพต่อไป จนกระทั่งมาถึงชั้นที่สามโดยถ่ายจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง เมโมรี่การ์ดสิบหกกิ๊กกะไบท์เต็ม หลังจากเปลี่ยนมโมรี่แล้ว แหงนหน้ามองดวงตะวันอยู่ตรงศีรษะพอดี วันนี้จึงได้เลิกลาเดินกลับมาถึงเจดีย์ขั้นสุดท้าย
นักท่องเที่ยวคนอื่นเพียงแต่เดินชมความงามจากภาพแกะสลักและทิวทัศน์รอบๆอาณาบริเวณ แต่หลวงตาไซเบอร์เดินเวียนขวารอบองค์เจดีย์พร้อมกับถ่ายภาพแกะสลักเหล่านั้นทุกช่องประตู จากชั้นแรกจนถึงชั้นที่สามผ่านไปด้วยดีเพราะความเพลิดเพลินกับการเสพสุนทรียของภาพแกะสลักยังมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่พอเริ่มชั้นที่สี่แขนเริ่มล้าตาเริ่มพร่า จึงค่อยๆเดินลงมายังฐานของเจดีย์
หนังสืออินโดนีเซียได้บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า “บรมพุทโธทั้งหมดมีสิบชั้น ใช้แทนภพทั้งสามของจักรวาลตามความเชื่อของพระพุทธศาสนานิกายมหายานคือกามภพ รูปภพ และอรูปภพ รูปนูนแกะสลักขั้นล่างสุด แสดงให้เห้นถึงความปีติของโลกนี้และการถูกทำโทษด้วยการลงนรกในโลกหน้า ห้าชั้นถัดไป (ทางเดินรอบองค์และเฉลียงรอบสี่ชั้น) มีภาพสลัก (เริ่มจากบันไดตะวันออกไล่ไปรอบเฉลียงตามเข็มนาฬิกา) ภาพเจ้าชายสิทธัตถะสู่การเป็นพระพุทธเจ้า นิทานชาดก เรื่องราวของพระองค์ในชาติก่อนและชีวิตของพระโพธิสัตว์สุธนะ(จากกันดะวยุหะ) ซึ่งแสดงไว้บนแผ่นหินพร้อมภาพสามัญชน เจ้าฟ้า นักดนตรี นางรำและนักบุญ และมีรายละเอียดด้านชาติพันธุ์วิทยาเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของชวาโบราณที่น่าสนใจในโพรงเหนือเฉลียงรอบมีพระพุทธรูปหิน 432 องค์ในปางทั้งห้าคือขอให้ธรณีเป็นพยาน แสดงทาน สมาธิ กล้าหาญและปัญญา เหนือเฉลียงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีลานกลมสามระดับ ประดับด้วยเจดีย์สร้างตามแบบพุทธศิลป์ 72 องค์ ส่วนใหญ่พระพุทธรูปสลักทรงเข้าฌาน แต่มีอยู่สององค์ที่อยู่กลางแจ้งและทอดพระเนตรไปยังภูเขาเมอโนเระห์ที่อยู่ใกล้กัน แท้จริงแล้วลานทั้งสามนี้คือขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านที่นำไปสู่ชั้นที่สิบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนภพสูงสุดคืออรูปภพ(ศิริพร โตกทองคำ,อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์สู่โลกกว้าง,2549,หน้า 149)
ประเทศอินโดนีเซียหรืออาณาจักรชวามีโบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนาจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงในอดีตพระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้มาก่อนดังที่เอลซา ไซนุดิน บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า “อาณาจักรต่างๆในชวาทิ้งโบราณวัตถุทั้งหลายอย่างหรูหราไว้เป็นอันมาก ในระหว่าง ค.ศ. 750 -850 มีการสร้างปูชนียสถานในพระพุทธศาสนาที่น่าประทับใจที่สุดในชวากลางคือเจดีย์บุโรพุทโธซึ่งยังคงอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เจดีย์บุโรพุทโธแสดงให้เห็นแบบการก่อสร้างที่แสดงความคิดทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับจักรวาล และตามภาพแกะสลักอันยาวเหยียดรอบระเบียงทั้งสี่ด้านก็เป็นภาพพุทธประวัติทั้งสิ้น (เอลซา ไชนุดิน(เพ็ชรี สุมิตร แปล),ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย,2552,หน้า 59)
หนังสือประวัติศาสตร์อินโดนีเซียยังกล่าวถึงเจดีย์บรมพุทโธไว้อย่างน่าสนใจว่า “มีผู้มองบุโรพุทโธมิใช่เป็นเพียงตัวแทนของพุทธจักรวาลและเป็นทาง 10 ขั้นเพื่อบรรลุนิพพานอันสูงสุดเท่านั้น แต่ยังมีความผูกพันกับในอดีตกาล ดังนั้นบุโรพุทโธเองจึงมิใช่เป็นสถูปในความหมายดั้งเดิมคือเป็นสถานที่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า แต่เป็นสถานที่บรรจุพระศพกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทรที่ถวายพระเพลิงและฝังพระศพไว้บนพื้นฐานชั้นต้นๆของสิ่งก่อสร้างนี้ จึงเท่ากับผูกโยงปูขนียสถานในพระพุทธศาสนาไว้กับการบูชาบรรพบุรุษรุ่นเดิม และเจดีย์ยอดแหลมอันกว้างขวางแบบอินโดนีเซียแท้ๆ ในสมัยก่อนได้รับอิทธิพลฮินดูและพระพุทธศาสนา(ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย,หน้า 61)
ส่วนรูปลักษณ์ของเจดีย์นั้นได้อธิบายไว้ว่า “เจดีย์บุโรพุทโธสร้างเป็นรูปโดมใหญ่หรือเป็นสถูปรอบๆเขาเตี้ยๆ เป็นสัญลักษณ์ของจักรวาลดังที่สาวกของพระพุทธเจ้าแลเห็น ใต้ฐานเจดีย์เป็นรูปแกะสลักภาพนูนแสดงให้เห็นโลกของความใคร่และตัณหา คนดีจะได้รับรางวัลด้วยการไปเกิดใหม่ในชีวิตที่ดีกว่า และคนชั่วจะได้รับโทษไปเกิดใหม่ในที่ต่ำกว่า ที่แปลกก้คือผู้สร้างที่ได้แกะสลักภาพเหล่านี้แล้วกลับนำเอาก้อนหินไปปกปิดภาพเหล่านั้นเสีย ตามระเบียงทั้งสี่ด้านที่อยู่สูงขึ้นไปจากชั้นนี้เป็นชั้นๆขึ้นไปแสดงให้เห็นโลกของรูปในแบบต่างๆ หากเราเดินเลี้ยวซ้ายจากบันไดกลางเราเดินรอบลานกว้างและด้านบนระเบียงที่ไม่มีหลังคา มีลูกกรงอยู่ทางซ้ายและมีจารึกคำสอนหลักอยู่บนฝาผนังด้านใน พร้อมด้วยภาพพุทธประวัติในระยะต่างๆ ที่ทรงแสวงหาทางตรัสรู้อีก 1300 ภาพประกอบอยู่ หลังจากเดินเป็นระยะทางสามไมล์แล้ว เราก็พ้นจากโลกของรูปต่างๆออกไปยังโลกที่ปราศจากรูป มีลานกลมกว้างไม่มีขอบเขตสามระดับ มีสถูปหินถึง 72 สถูปเรียงรายอยู่โดยรอบคือสถูปเล็กเรียงรายอยู่รอบสถูปใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง และเราจะมองผ่านหุบเขาที่เขียวชอุ่มไปยังเทือกเขาที่แวดล้อมเรียงเป็นวงอยู่รอบด้าน เป็นอาณาบริเวณที่น่าชมอย่างยิ่ง (หน้า 60)
อ่านคำอธิบายจากหนังสือกับการที่ได้ประสบด้วยตนเองต้องยอมรับว่าแม้บางส่วนจะไม่เหมือนในตำรา แต่บางส่วนก็มีความใกล้เคียง สถูปเล็กๆรอบๆองค์เจดีย์นั้นบรรจุพระพุทธรูปไว้ข้างในจำนวนมากและนักท่องเที่ยวมักจะเอามือลอดลูกกรงไปจับต้องพระหัตถ์หรือพระบาทพระพุทธรูปที่อยู่ภายใน ขณะที่มัคคุเทศก์ท่องบทสวดมนต์ให้ฟัง สถูปองค์กลางที่อยู่บนยอดสูงสุดนัยว่าแสดงให้เห็นนิพพานอันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความว่างเปล่า
บนยอดเจดีย์เหมือนกับเป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับโลกหน้า ยอดเจดีย์มุ่งตรงไปยังท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เมื่อเดินทางจากฐานเจดีย์มาถึงยอดเจดีย์เหมือนกับจะเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าได้มาถึงจุดระหว่างสองโลกแล้ว
วันนั้นการเดินทางยังมีต่อแต่การชมความมหัศจรรย์ของเจดีย์ต้องยอมรับว่าศรัทธาของชาวพุทธในอดีตนั้นต้องมีมากจึงสามารถสรรสร้างมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่อย่างบูโรบูดูร์หรือบรมพุทโธฝากไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชื่นชม อีกอย่างหนึ่งแสดงให้เห็นถึงพระพุทธศาสนาต้องเคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้ในอดีตมาก่อน ก่อนที่จะเลือนหายไปแต่ด้วยผลใดนั้นคงหาคำตอบได้ไม่ง่ายนัก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
11/05/53
อ้างอิง
ศิริพร โตกทองคำ,อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์สู่โลกกว้าง,2549.
เอลซา ไชนุดิน(เพ็ชรี สุมิตร แปล),ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย,2552.