การเดินทางไกลหากร่างกายและสุขภาพไม่สมบูรณ์ แม้ความงดงามจะปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถซึมซับรับเอาความงดงามนั้นได้ทั้งหมด ความงดงามที่ได้รับการปรุงแต่งโดยยังคงลักษณะและคุณสมบัติของธรรมชาติไว้ แต่งนิดเติมหน่อยนำก้อนหินต้นไม้มาวางเรียงด้วยศิลปะการตกแต่ง ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้าก็กลายสภาพจากความธรรมดากลายเป็นความงามที่น่าทัศนา
ครั้งหนึ่งที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในฮ่องกง เมื่อครั้งที่เดินทางไปเยี่ยมวัดฮ่องกงธรรมาราม เขาพาไปทัศนาความงดงามของสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เดินชมความงดงามที่ถูกจัดแต่งออกแบบโดยนำเอาต้นไม้ ก้อนหินมาวางเรียงราย จนกลายเป็นความงามที่ดูแล้วเพลิดเพลินเจริญตา ในขณะที่กำลังเดินเล่นและถ่ายภาพอยู่นั้นบังเอิญเดินไปสะดุดก้อนหินจนเท้าบวมและมีรอยแผลเลือดออกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้บอกใคร เพราะนึกว่าคงไม่เป็นอะไรมาก อีกอย่างหนึ่งเกรงว่าคนอื่นๆจะเป็นกังวล ตัวเราเองพลาดเองประมาทเองก็ต้องดูแลรักษาเอง จึงพยายามทำตัวให้เป็นปรกติ แต่ทว่าเท้าเริ่มบวมขึ้นเรื่อยๆ วันนั้นคณะร่วมเดินทางซึ่งไปกันเอง ผู้นำเที่ยวคือพระสงฆ์ที่จำพรรษาในฮ่องกงมานานและมีอุบาสกอุบาสิกาอีกสองสามคน เป็นขบวนเล็กๆไม่จำกัดเวลา ไปได้แค่ไหนก็ไปแค่นั้นอยากกลับเมื่อไหร่ก็กลับได้ทันที พาหนะก็อาศัยรถเมล์โดยสาร มีบัตรใบเดียวเที่ยวได้ทั่วฮ่องกง เพียงแต่เสียบบัตรเข้าที่ก่อนขึ้นรถประตูก็เปิด รถเมล์ก็สะดวกมีคนขับเพียงคนเดียว ไม่มีกระเป๋ารถเมล์ รถจะมีผู้โดยสารหรือไม่มี พอถึงเวลารถก็ออกตามกำหนด ประเทศนี้เมืองนี้การคมนาคมเจริญก้าวหน้าดีจริงๆ
นั่งพักที่ม้านั่งที่วางเรียงรายตาริมทางเดิน มองดูก้อนหินที่นำมาวางในสวนหย่อม นึกโกรธตัวเองที่ไม่ระมัดระวังให้ดี ในขณะเดียวกันก็ขอบคุณก้อนหินที่เตือนให้ระวังตั้งอยู่ในความไม่ประมาท วันนั้นแทนที่จะโกรธก้อนหินที่ทำให้เป็นแผล กลับโกรธตนเองที่เดินไม่ระวัง
นึกถึงเรื่องที่หลวงพ่อเคยเทศน์ให้ญาติโยมฟังตอนหนึ่งว่า “คนแก่มักจะเข้าข้างตัวเอง แต่มักจะโทษลูกหลาน เช่นหากคนแก่เดินไปเหยียบถ้วยชาม ก็มักจะดุด่าเด็กๆว่า เก็บไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง แต่ถ้าเด็กเดินไปเหยียบถ้วยชามที่ตนเองใช้แล้วลืมเก็บก็จะดุด่าเด็กๆว่า เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ระมัดระวัง แทนที่จะโทษตัวเองว่าเก็บไม่เป็นที่เป็นทาง หรือคนแก่เดินไปสะดุดก้อนหินก็มักจะโทษว่าใครนำก้อนหินมาวางขวางทางเดิน แทนที่จะโทษตนเองว่าเดินไม่ระวัง คนแก่มักจะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ”
สายลมพัดแรงเหมือนกำลังแค้นเคืองใครบางคน แต่มาเพียงวูบเดียว จากนั้นก็กลายเป็นกระแสลมอ่อนๆที่โชยแผ่วสัมผัสกายให้หายร้อย มองดูก้อนหินที่สงบนิ่งไม่ติงไหวแม้ลมจะพัดแรงอย่างไรก้อนหินก็ยังคงอยู่ไม่สะเทือนด้วยรงลม ในขณะที่ต้นไม้บางต้นยังสงบนิ่ง แต่บางต้นไหวโอนเอนไปตามแรงลม ธรรมชาติมีวิธีปฏิบัติตนต่อความเป็นธรรมดาโดยไม่ต้องมีใครสอน ก้อนหินใช้วิธีสงบสยบเคลื่อนไหว ในขณะที่ต้นไม้ใช้ความเคลื่อนไหวสะบัดใบไปตามแรงลม แต่ลำต้นยังคงสงบนิ่ง ก้อนหินและต้นไม้มีวิธีปรับตัวต้อนรับกับแรงลมคนละอย่าง แต่ทว่าทั้งก้อนหินและต้นไม้ก็หยัดยืนอยู่ได้จนกลายเป็นความธรรมดาของธรรมชาติ
แผลทางกายไม่นานก็หาย แต่หากมีใครทำให้เราเก็บซ้ำน้ำใจ จนกลายเป็นความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปีแล้วคิดขึ้นมาเมื่อไหร่มันเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงทุกที แผลทางกายไม่นานก็หาย แต่ทำไมแผลใจมันจึงลืมยาก โศกนาฏกรรมของมนุษย์อย่างหนึ่งคือมักจะจำฝนสิ่งที่ควรลืม แต่มักจะลืมในสิ่งที่ควรจำ
หากจิตใจมนุษย์มีความหนักแน่นดุจก้อนหิน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว จิตใจก็เป็นสุข ดังที่แสดงไว้ในชุณหสูตร ขุททกนิกาย อุทาน(25/96/113) ความว่า “จิตใจของผู้ใดเปรียบด้วยภูเขาหิน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่โกรธเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการโกรธเคือง จิตของผู้ใดอบรมแล้วอย่านี้ทุกข์จักถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน”
แปลมาจากภาษาบาลีว่า “ยสฺส เสลุปมํ จิตฺตํ ฐิตํ นานุปกมฺปติ
วิรตฺตํ รชนีเยสุ โกปเนยฺย น กุปปติ
ยสฺเสวํ ภาวิตํ จิตฺตํ กุโต ทุกฺขเมสฺสติ ฯ
จิตใจของผู้ที่หนักแน่นดุจภูเขาหิน ทนต่ออารมณ์แห่งความกำหนัด ทนต่อความโกรธได้ ใจก็ไม่มีทุกข์ แต่การที่จะทำให้เป็นผู้มีจิตใจหนักแน่นดุจภูเขาหินได้นั้นทำได้ยากแท้ แต่ไม่เกินความสามารถหากทำการฝึกฝน วันนี้แม้จิตใจจะเป็นเหมือนภูเขาหินไม่ได้ แต่ก็ขอเริ่มต้นการฝึกจิตจากก้อนหินก้อนเล็กๆ ก้อนที่มาสะกิดเท้าจนกลายเป็นรอยแผลก้อนนั้น ในวันนี้ได้ฝากรอยแผลเป็นไว้คอยสะกิดใจไม่ให้ประมาท
การเดินทางไกลแม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์ มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ้างซึ่งก็เป็นธรรมดาของการเดินทาง เจ็บทางกายไม่เป็นไรอดได้ ทนได้ แต่อย่าให้แผลทางใจเกิดขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน แผลกายใช้ยารักษาก็หาย ส่วนแผลทางใจต้องใช้ยาขนานเอกที่เรียกว่า “การให้อภัย” ลืมในสิ่งร้าย เลือกจำในสิ่งดี มนุษย์ยังมีสิ่งดีๆให้ได้สัมผัสอีกมากมาย
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
02/09/56