วันหนึ่งมีประชุมในตอนเช้า จึงต้องรีบเดินทางไปให้ทันเวลา ฟ้ายังครึ้มไปด้วยหมู่เมฆเหมือนฝนจะหลั่งลงมาได้ทุกเมื่อ เมื่อไปถึงยังไม่ได้เวลาประชุมมองไปเห็นพนักงานกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มสนทนาจึงแวะเข้าไปทักทาย แต่กลายเป็นว่าทำให้วงสนทนาต้องหยุดชะงักลง ถามพนักงานคนหนึ่งที่คุ้นเคยว่ากำลังสนทนากันเรื่องอะไร เขาบอกว่าเรื่องสัพเพเหระ ในช่วงใกล้วันสิ้นเดือนเงินเหลือน้อย การทำงานก็ไม่ค่อยจะเต็มที่นัก กำลังวางแผนกันว่าพอเงินเดือนออกจะทำอะไรดี ตอนนั้นคิดถึงคำที่ใครไม่รู้เคยพูดให้ได้ยินมานานแล้วว่า “มนุษย์เงินเดือนนั้นมักมีปรกติเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ มาสาย ทำงานน้อย คอยเวลา นินทาผู้บริหาร”
หากพนักงานจับกลุ่มกันเมื่อไหร่มักจะหนีไม่พ้นเรื่องของการนินทาผู้บริหารว่าควรจะทำอย่างนั้น ควรจะทำอย่างนี้ ควรจะขึ้นเงินเดือนให้มากหน่อย ควรสอดส่องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี เรื่องสวัสดิการก็ควรจัดสรรปันส่วนอย่างทั่วถึง บางครั้งก็สรรเสริญเชิดชูบูชาผู้บังคับชาเสียจนอาจจะทำให้เหลิงหลงในอำนาจ คำสรรเสริญและนินทาจึงเหมือนสายลมที่พัดโหมกระหน่ำ บางครั้งทำให้ผู้บริหารหวั่นไหวไปเพราะคำนินทาและคำสรรเสริญได้เหมือนกัน
ยังไม่ถึงเวลาประชุมจึงนั่งรอใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง สายลมพัดมาแผ่วเบาสัมผัสผิวกายรู้สึกสดชื่นสบายใจ ตอนนั้นคิดถึงภูเขาที่ยืนยงคงทนไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมแม้จะพัดกระหน่ำมาจากทุกทิศทุกทางก็ไม่อาจทำให้ภูเขาสะท้านสะเทือนได้
หลายเดือนมาแล้วที่เดินทางไปยังถ้ำพระซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ภูเขาสูงทอดตัวยาวไปตามแนวป่า เหมือนงูใหญ่ที่กำลังหลับใหล พอถูกแสงอาทิตย์กระทบก็จะมีแสงสะท้อนมาจากยอดดอย ภายใต้ภูเขาแห่งนั้นยังมีถ้ำขนาดใหญ่ที่หลบตัวอยู่ใต้เงื้อมผา หากไม่เพ่งมองให้ดีก็จะเห็นเพียงใต้หน้าหน้าปากทางเข้าถ้ำเล็กๆ แต่เมื่อเดินผ่านปากถ้ำเข้าไปก็จะได้เห็นถ้ำดินขนาดใหญ่ที่หลบตัวอยู่ใต้ขุนเขา ชาวบ้านถิ่นนั้นเรียกว่า ”ถ้ำพระ” ข้างๆถ้ำพระมีสำนักสงฆ์ตั้งอยู่ มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาไม่ขาด นอกจากนั้นมักจะมีพระสงฆ์เดินทางจาริกมาพักที่ถ้ำแห่งนี้เป็นประจำ
จากปากคำของชาวบ้านแถวนั้นเล่าให้ฟังว่า “ภายในถ้ำพระลึกลับสลับซับซ้อนมาก มีช่องมีโพรงเล็กๆอีกนับจำนวนไม่ถ้วน พระสงฆ์ที่ชอบบำเพ็ญเพียรมักจะหาที่หลบซ่อนตัวตามถ้ำต่างที่หลุดรอดจากสายตาผู้คน บางรูปหายเข้าไปในถ้ำไม่เคยได้ออกมาอีกเลย บางรูปทิ้งไว้เพียงบาตรที่ขึ้นสนิม บางรูปเหลือไว้เพียงโครงกระดูก เชื่อกันอีกว่าภายใต้ถ้ำนั้นอาจจะมีสายแร่ทองคำไหลผ่าน แต่ก็ไม่เคยมีการสำรวจว่ามีทองคำอยู่จริงหรือไม่ พบแต่โครงกระดูก บาตรเก่ามีให้เห็นบ่อยๆ ในถ้ำแห่งนี้คงมีพระภิกษุมรณภาพมาแล้วหลายรูป จากการคาดคะเนน่าจะมาจากสาเหตุสองประการคือประการแรกท่านบำเพ็ญจนมรณภาพจริงๆ ประการที่สองท่านหาทางออกจากถ้ำไม่ได้
วันนั้นเสร็จจากการภารกิจแล้ว จึงไปขอพักที่วัดถ้ำแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำพระประมาณสองกิโลเมตร ดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะพอดีในช่วงที่เดินเข้าถ้ำพระ เนื่องจากหาเพื่อนพระภิกษุรูปอื่นไม่ได้จึงตัดสินใจถือกล้องและเดินสำรวจภายในถ้ำตัวคนเดียว
ในความเงียบสงัดของถ้ำพระ บางครั้งได้ยินเสียงลมพัดผ่านภูดินแทรกเข้ามาเหมือนเสียงร้องของวิญญาณเร่ร่อน บางครั้งเป็นเสียงเสนาะประดุจเสียงดนตรีแห่งสรวงสวรรค์ บางครั้งเงียบสงัดประหนึ่งโลกหยุดหมุน บางแห่งมีแสงสว่างลอดผ่านโพรงดินเข้ามา บางแห่งมืดมิดมองหาอะไรไม่พบ หากดับไฟฉายส่องทางก็มืดเหมือนเดินอยู่ในค่ำคืนวันแรมสิบห้าค่ำ ในค่ำคืนที่ฟ้าไร้ดาว เสียงค้างคาวตกใจเมื่อได้ยินเสียงผิดปรกติ บินว่อนออกจากถ้ำ ค้างคาวตัวหนึ่งบินเฉียดศีรษะไปนิดเดียวสะดุ้งตกใจก้มหลบรอดพ้นไปได้หวุดหวิด นั่งทำใจให้สงบสักครู่นึกตำหนิตัวในใจไม่น่าหวาดผวากับเสียงกระพือปีกของค้างคาวเลย ผู้ที่หวาดสะดุ้งตกใจง่าย ท่านว่าเป็นคนที่มีจิตอ่อนไหว ดังที่แสดงไว้ในกุลฆรณีสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/782/280) ความว่า “แท้จริงเสียงที่เป็นข้าศึกมีมากอันท่านผู้มีตบะพึงอดทนไม่พึงเก้อเขินเพราะเหตุนั้น เพราะสัตว์หาได้เศร้าหมองด้วยเหตุนั้นไม่ แต่ผู้ใดมักสะดุ้งเพราะเสียงประดุจเนื้อทรายในป่า นักปราชญ์กล่าวผู้นั้นว่ามีจิตเบา วัตรของเขาย่อมไม่สมบูรณ์”
บ่ายวันนั้นปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับการสำรวจถ้ำนั่งบ้าง เดินบ้างไปตามตรอกซอกเขาและถ้ำต่างๆ จนกระทั่งน้ำดื่มที่ถือติดมือไปด้วยหมด จึงเริ่มกระหายน้ำ มนุษย์สามารถอดอาหารได้หลายวัน แต่ขาดน้ำได้ไม่นาน คิดถึงพระธุดงค์ในอดีตที่เคยเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ส่วนหนึ่งที่มรณภาพคงมาจากการขาดอาหารและขาดน้ำ กอปรกับคงหลงทางหาทางออกจากถ้ำไม่ได้ แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานนับศตวรรษแล้ว แต่สภาพของถ้ำพระธรรมชาติยังรักษาสภาพของถ้ำไว้ได้เป็นอย่างดี
เดินออกจากถ้ำพระ หันมองย้อนกลับไปยังเห็นขุนเขาโดดเด่น สะท้อนกับแสงอาทิตย์ในสายัณหสมัย เกิดเป็นเงาสะท้อนกับโขดหิน ชายป่ารอบๆถ้ำกำลังจะกลืนหายไปกับรัตติกาล ภายในถ้ำยังรักษาความเก่าเอาไว้ได้ แต่ภายนอกถ้ำคงมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ป่าไม้เริ่มเหลือน้อยลง กลายเป็นภูเขาหินที่โดดเด่นท้ากระแสลมแรงมานานชั่วนาตาปี ภายในเป็นถ้ำดิน แต่ข้างนอกเป็นภูเขาหินยังคงยืนยงคงทนอยู่ได้ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด บัณฑิตก็ไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและคำสรรเสริญฉันนั้น ดังที่แสดงไว้ในปัณฑิตวรรค ขุททกนิกาย ธรรมบท (25/ 16 /21) ความว่า “ภูเขาหินล้วน เป็นแท่งทึบย่อมไม่หวั่นไหวเพราะลมฉันใด บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่หวั่นไหวเพราะนินทาและสรรเสริญ ฉันนั้น ห้วงน้ำลึกใสไม่ขุ่นมัว แม้ฉันใด บัณฑิตย์ทั้งหลายฟังธรรมแล้วย่อมผ่องใสฉันนั้น”
แปลมาจากภาษาบาลีว่า “เสโล ยถา เอกฆโน วาเตน น สมีรติ
เอวํ นินฺทาปสํสาสุ น สมิญฺชนฺติ ปณฺฑิตาฯ
คำนินทาและคำสรรเสริญในคำว่า “นินฺทาปสํสาสุ” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงถึงโลกธรรมแปดประการ มีคำอธิบายในอรรถกถาว่า “เหมือนอย่างว่าภูเขาศิลาล้วน เป็นแท่งเดียว คือไม่มีโพรง ย่อมไม่สะเทือน คือไม่เอนเอียง ไม่หวั่นไหว ด้วยลม ต่างด้วยลมพัดมาแต่ทิศตะวันออกเป็นต้นฉันใด เมื่อโลกธรรมแม้ทั้งแปด ครอบงำอยู่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่เอนเอียง คือไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือน ด้วยอำนาจความยินร้ายหรือยินดีฉันนั้น”
โลกธรรมแปดมีแสดงไว้ในอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต (21/192/217) ความว่า “โลกธรรมแปดคือ ลาภ ความเสื่อมลาภ ยศ ความเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ย่อมหมุนเวียนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรมแปด”
คำว่า “นินทา” เป็นคำนามอิตถีลิงค์(เพศหญิง) แปลว่า ตำหนิ ติเตียน หาความ ใส่โทษ มักจะมาคู่กับ คำสรรเสริญ ภาษาบาลีใช้คำว่า “ปสํสน” คำนามนปุงสกลิงค์(ไม่ใช่ชายไม่ใช่หญิง) และ “ปสํสา” คำนามอิตถีลิงค์เพศหญิง แปลว่า การสรรเสริญ การยกย่อง การชมเชย
มนุษยโลกนี้จึงหนีโลกธรรมทั้งแปดประการไม่พ้น ย่อมมีทั้งฝ่ายที่ชอบใจและไม่ชอบใจ โบราณว่า “เวลาขึ้นอย่าหลง เวลาลงอย่าท้อ” ต้องทนให้ได้ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้ทั้งในเวลาที่ได้ยศ และเสื่อมยศ ต้องรักษาความหนักแน่นของจิตใจไว้ให้ในยามที่มีลาภและเสื่อมลาภ ใจต้องมั่นคงในเวลาที่ได้รับคำสรรเสริญและได้รับคำนินทา
เย็นวันนั้นเดินกลับถ้ำแก้วซึ่งอาศัยเป็นที่พักในค่ำคืนที่มืดมิด แม้ฟ้าจะไม่ผ่องใสเพราะยังมีเมฆ หมอก บดบัง แต่ทว่าในหัวใจกลับชื่นบาน ในค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงกังวลใจ ชีวิตมีอยู่แค่นี้จะอำลาจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เวลาใดไม่อาจคาดและคำนวณล่วงหน้าได้
ได้เวลาเข้าห้องประชุมจึงเข้าร่วมการประชุมทันตามกำหนดเวลา ในขณะที่หันมามองพนักงานทั้งหลายที่แยกย้ายกันไปก่อนหน้านั้นไม่นาน ตอนนี้เริ่มจับกลุ่มสนทนากันอีกครั้ง จำนวนคนที่ร่วมวงสนทนามากขึ้นกว่าเดิม
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
25/06/56