งานประจำปีวัดมัชฌันติการาม วงศ์สว่าง ในปีพุทธศักราช 2556 เริ่มต้นขึ้นแล้วโดยถือเอาวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีเป็นวันเริ่มงานและจะสิ้นสุดในวันมาฆบูชา วัดมัชฌันติการามชาวบ้านนิยมเรียกวัดน้อย เริ่มสร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2417 จนถึงปัจจุบัน พุทธศักราช 2556 มีเจ้าอาวาสมาแล้วหลายรูป จากรูปแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นบุรพาจารย์ผู้ก่อตั้งวัดบูรณะสวนผลไม้ที่ชาวบ้านถวายเพื่อเป็นที่พักสงฆ์ที่จรมาจากทิศทั้งสี่ จนกลายมาเป็นวัดในปัจจุบัน ชาวบ้านนิยมเรียกอดีตเจ้าเจ้าอาวาสรูปแรกว่า “หลวงปู่” จนมาถึงเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ชาวบ้านเรียกว่า “ท่านเจ้าคุณ” เวลา 139 ปีมีเจ้าอาวาสมาแล้ว 8 รูป
แต่ละวัดมักจะจัดงานใหญ่ประจำปีอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ถือว่าเป็นงานใหญ่ ส่วนงานอื่นๆแม้จะมีแทรกบ้างแต่ก็เป็นงานเล็กๆไม่ใหญ่นัก งานประจำปีย่อมต้องจัดหลายวัน วัดมัชฌันติการามจัดงานประจำปีเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่อดีตเจ้าอาวาสและบูรพาจารย์ที่เคยอยู่จำพรรษาในอาวาสแห่งนี้ งานนี้เน้นที่การปิดทองอดีตเจ้าอาวาสรูปแรกที่มรณภาพไปแล้วเก้าสิบเก้าปี งานจัดติดต่อกัน 10 วัน 10 คืน
เริ่มงานวันแรกขึ้น 7 ค่ำเดือน 3 ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556 ในภาคมีการทำบุญอุทิศกุศลทักษิณานุปทานถวายแด่อดีตเจ้าอาวาสทุกรูป ส่วนภาคค่ำมีการละเล่นต่างๆ ตามลักษณะและรูปแบบของงานวัดทั่วไป และยังมีการแสดงของนักเรียนวัดมัชฌันติการามและการแสดงของนักร้องชื่อดังอีกมามาย มีให้ชมทุกวัน
ตามประวัติวัดมัชฌันติการามสร้างมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2417 โดยเจ้าจอมมารดาเที่ยง เจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ 4 เป็นผู้ให้การอุปถัมภ์ และสร้างวัดสำเร็จบริบูรณ์ในสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงเป็นองค์ประธานในการผูกพัทธสีมา และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “วัดมัชฌันติการาม” ปัจจุบันมีเจ้าอาวาสมาแล้วเจ็ดรูป ปัจจุบันเป็นรูปที่แปดคือ “พระพุทธิสารโสภณ (พระมหา ดร.เดช กตปุญฺโญ)” เป็นเจ้าอาวาส
คำว่า “มัชฌันติก” มาจากคำนามเพศชายในษาบาลีว่า “มชฺฌนฺติก” แปลว่า เที่ยงวัน บวกกับคำว่า “อาราม” เป็นคำนามเพศชายในภาษาบาลีที่แปลว่า “ความยินดี ความพอใจ สวน อุทาน อาราม” คำบางคำมีความหมายหลายอย่าง อารามในที่นี้น่าจะแปลว่าสวนหรืออาราม เพราะบริเวณที่เป็นวัดและรอบๆวัดในอดีตคือสวนผลไม้ของชาวบ้าน วัดตั้งอยู่ท่ามกลางสวนของชาวบ้าน แต่ปัจจุบันสวนได้เปลี่ยนเป็นหอพักนักศึกษา เป็นบ้านจัดสรรไปเกือบหมดแล้ว
ในยุคแรกมีเจ้าจอมมารดาเที่ยงเป็นผู้ริเริ่มในการบูรณะซึ่งเชื่อกันว่าเคยเป็นวัดเก่ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ชาวบ้านนิยมเรียกวัดนี้ว่า “วัดน้อย” ซึ่งคู่กับวัดที่ตั้งอยู่ในอีกซอยถัดไปคือ “วัดหลวง” แต่ปัจจุบันวัดหลวงได้เป็นวัดร้างไปแล้ว จึงเหลือแต่วัดน้อยเป็นวัดฝ่ายธรรมยุตวัดเดียวในเขตบางซื่อ
วัดน้อยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีหลายวัดเช่นวัดน้อยนางหงษ์ วัดน้อยนพคุณ วัดน้อยชมภู่ วัดน้อยใน หากไม่ระบุที่ตั้งมักจะเข้าใจผิดเสมอ บางครั้งบอกรถโดยสารว่าวัดน้อย อาจจะไปโผล่ที่วัดน้อยใน ตลิ่งชัน หาทางกลับลำบากยิ่งเป็นวันที่รถติดจะต้องผ่านถนนจรัลสนิทวงศ์ ที่กำลังมีการก่อสร้างทางด่วนหรืออะไรสักอย่าง ต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุ ดังนั้นหากจะมาวัดมัชฌันติการามหรือวัดน้อย ต้องบอกเส้นทางว่า “วัดน้อยพระรามเจ็ด” หรือ “วัดน้อยวงศ์สว่าง ซอย 11” อย่างนี้เดินทางถึงจุดหมายแน่นอน
พระครูธรรมสารวิจิตร (หลวงปู่อ่อน ญาณเตโช) เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกในช่วงปีพุทธศักราช 2440-2457 แต่หลวงปู่อ่อนมาอยู่จำพรรษาตั้งแต่เริ่มบูรณะวัดในปีพุทธศักราช 2417 และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสในปีพุทธศักราช 2440 หลวงปู่อ่อนเป็นศิษย์สำนักเรียนเดียวกันกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ชาวบ้านจึงนับถือหลวงปู่ในฐานะของเกจิอาจารย์รูปหนึ่ง
หลวงปู่อ่อนมีชื่อเสียงเลื่องลือในทางเมตตามหานิยมและขมังเวทย์ และสร้างเครื่องรางของขลังไว้หลายรุ่น ปัจจุบันเป็นของหายากแล้วเช่นตระกรุดโทน กระดูห่าน เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่อ่อนเป็นต้น วัดมัชฌันติการามได้สร้างรูปหล่อหลวงปู่อ่อนไว้ภายในวิหารหลวงปู่ ในแต่ละวันจะมีคนมาสักการะกราบไหว้ไม่ขาด ชาวบ้านต่างก็เล่าลือกันว่าหากใครบนบานศาลกล่าวอะไรไว้มักจะสำเร็จตามวัตถุประสงค์เช่นสอบเข้าทำงาน ขอให้เรียนสำเร็จก็มักจะไม่ค่อยพลาด แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านระมัดระวังเป็นพิเศษคือการบนว่าขอให้ไม่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร ใครที่มาบนบานไว้อย่างนั้นมักจะจับได้ใบแดงถูกเกณฑ์เป็นทหารแทบทุกราย นัยว่าหลวงปู่อ่อนชอบทหารและตำรวจเป็นพิเศษ
การทำบุญอุทิศให้กับบุรพาจารย์ที่เคยพำนักในอารามนั้น จัดเป็นผู้ที่มี “กตัญญูกตเวทิตาธรรม” อันเป็นเครื่องหมายของคนดี” มีบาลีแสดงไว้ในพุทธศาสนสุภาษิตว่า “นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายแห่งคนดี” หากรู้ว่าใครที่มีบุญคุณที่เคยทำไว้ก่อนแล้ว กระทำตอบแทนแทน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนดี หากคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ก้กระทำให้ท่านสะบายใจ หากท่านเสียชีวิตไปแล้วก้ควรทำบุญอุทิศไปให้ "ยามอยู่ให้เลี้ยงกาย ยามตายเลี้ยงวิญญาณ" ส่วนท่านจะได้รับหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญเราได้ทำ หากบุญไม่ถึงผู้รับ บุญนั้นก็จะย้อนกลับมาหาผู้ทำ
บุพการีและกตัญญูกตเวทีเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลกดังที่มีแสดงไว้ใน อังคุตตรนิกาย ทุ กกนิบาต(20/364/81) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลสองจำพวกนี้หาได้ยากในโลกคือบุพพการีบุคคล กตัญญูกตเวทีบุคคล”
สมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศ จะมาร่วมงานวันครบรอบเกิดของหลวงปู่อ่อน ญาณเตโชในวันขึ้น 7 เดือน 3 ของทุกปี ว่าหลวงปู่จะมรณภาพไปนานเก้าสิบเก้าปีแล้ว ทางวัดจึงได้ถือเอาวันคล้ายวันเกิดของอดีตเจ้าอาวาสเป็นวันจัดงานประจำปี ติดต่อกันมาทุกปี ในแต่ละปีก็จะเป็นการรวบรวมปัจจัยเพื่อใช้ในการบูรณะวัดตามแต่ความจำเป็น
ใครที่มีเวลาว่างจะมาร่วมงานขอเชิญได้ มีทุกอย่างให้ได้ชมเช่นภาพยนตร์ ดนตรี มหรสพสมโภชตลอดงาน ทำบุญสร้างพระประจำวันเกิด ไถ่ชีวิตโคกระบือ บริจาคโรงศพให้แก่ศพไร้ญาติ เป็นต้น ในวันสุดท้ายของงานคือวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 ตรงกับวันมาฆบูชา มีพิธีเวียนเทียนเนื่องในวันมาฆบูชาด้วย ใครสะดวกในวันเวลาไหนขอเชิญเที่ยวงานได้ตามอัธยาศัย
คิดถึงคำโบราณที่ว่า “เกิดมาทั้งทีให้สร้างดีเอาไว้ จะตายทั้งทีให้ฝากดีเอาไว้” หลวงปู่อ่อน ญาณเตโช อดีตเจ้าอาวาสวัดมัชฌันติการามเป็นตัวอย่างของสุภาษิตนั้น เพราะแม้จะล่วงลับดับขันธ์ไปตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2457 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลานานกว่า 99 ปีแล้ว ประชาชนคนทั้งหลายก็ยังรู้จัก นั่นเพราะคุณงามความดีที่หลวงปู่สร้างไว้เป้นอนุสรณ์ให้ลูกหลานได้รับรู้ เช่นพระอุโบสถก็ยังเป็นหลังเก่าตั้งแต่ครั้งที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ การมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นคนจะจดจำได้นาน ส่วนการมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองไม่นานคนก็จะลืม
เวลากาลผ่านไป 139 ปี กับการสร้างวัด และ 99 ปีของการมรณภาพหลวงปู่อ่อน ญาณเตโชอดีตเจ้าอาวาสรูปแรก วัดมัชฌันติการามมีเจ้าอาวาส 8 รูป มีพระเถระที่เคยจำพรรษาในอารมแห่งนี้และมีชื่อเสียงเป็นเจ้าคณะรากฎหลายรูปเช่นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด เจ้าคณะจังหวัดสกลนคร (ธรรมยุต)
หลวงปู่อ่อนมรณภาพไป 99 ปี แต่คนก็ยังรู้จักและจดจำได้ เพราะจัดงานทุกปี ส่วนเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันผู้คนก็จะจดจำไปอีกนานเพราะท่านพระเจ้าอาวาสรูปแรกที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “เจ้าคุณ” รูปแรกของวัดในรอบ 139 ปี เจ้าอาวาสรูปแรกเป็นหลวงปู่ ส่วนเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันเป็นเจ้าคุณ
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
02/18/56
ดูภาพการทำบุญงานประจำปี 2556
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.486737484697015.101738.454958224541608&type=1