ทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จแดดร่มลมตกจึงเดินเล่นไปที่ศาลาหน้าวัด แม้จะกำลังมีการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียที่คลองหน้าวัด แต่คนงานเลิกงานไปแล้ว จึงมีความเงียบมาเยือนบ้าง น้ำในคลองยังไหลนองครึ่งตลิ่ง แต่เป็นน้ำครำที่ไหลมาจากน้ำเหนือคลอง ทำไมน้ำในคลองจึงเน่าเหม็นอยู่แทบตลอดทั้งปีก็ไม่รู้ มีวันหนึ่งที่น้ำใสเป็นพิเศษคือวันลอยกระทง วันนั้นน้ำใสสะอาดเพราะเจ้าหน้าทำให้น้ำใสได้ แต่ถ้าทำให้น้ำสะอาดได้ทั้งปีคงดีกว่านี้ มนุษย์แทบจะเอาชนะธรรมชาติได้แล้ว สามารถเนรมิตตามสิ่งที่ตนปรารถนาได้ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ
ยืนคิดอะไรเล่นๆเพลินๆตามประสาผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยชรา ซึ่งมักจะทอดถอนใจถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผ่านพ้นไป อายุ วัยที่ไม่มีวันได้กลับคืนมา ตอนนั้นมีเสียงจากชายคนหนึ่งถามแทรกเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวว่า “หลวงตาครับโลกจะแตกจริงหรือครับ” ถามแบบนี้หลวงตายังงงๆ จึงถามกลับตามความเคยชินว่า “ทำไมโลกถึงจะแตก” ชายคนนั้นบอกว่า “หลวงตาไม่ได้ดูข่าวหรือครับ เขาเล่าลือกันว่าโลกจะแตกในวันที่ 21-22 ธันวาคม 2555 ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว หลวงตามัวไปหลบอยู่ที่ไหนไม่ติดตามข่าวสารบ้างเลยหรือครับ”
หลวงตาตามที่เขาเรียกทำหน้าเจื่อนๆ คงตกข่าวอย่างที่เขาว่า “แล้วเรื่องมันเป็นยังไง ไหนลองสาธยายให้หลวงตาฯฟังหน่อย” เรื่องนี้คงลืมจริงๆนั่นแหละ เพราะไม่ได้คิดถึงด้วยซ้ำเห็นบรรยากาศกำลังดี อากาศที่ภาคเหนือกำลังหนาวเย็นสบาย กำลังวางแผนจะเดินทางไปสัมผัสกับอากาศหนาวทางภาคเหนืออยู่ แต่ติดขัดที่เวลาไม่เอื้ออำนวย ช่วงนี้ไปไหนนานไม่ค่อยได้
ชายคนนั้นจึงบอกว่า “ตามข่าวนะครับเขาบอกว่าจะมีพายุสุริยะมาเยือนโลก อาจจะทำให้โลกมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปเลย”
หลวงตาก็ยิ่งงง “ประเดี๋ยวก่อน พายุสุริยะคืออะไร”
ชายคนนั้นบอกว่า “ผมจำเขามานะครับ เขาบอกว่า พายุสุริยะคือกระแสของอนุภาคพลังงานสูงที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ด้วยปริมาณและความเร็วสูงกว่าระดับปกติ อนุภาคนี้มีทั้งอิเล็กตรอนและโปรตอน เป็นตัวการทำให้เกิดแสงเหนือใต้ และพายุแม่เหล็ก ซึ่งในกรณีที่รุนแรงก็อาจส่งผลต่อดาวเทียม ยานอวกาศ และระบบสายส่งบนโลก”
หลวงตาจึงถามต่อไปว่า “พายุสุริยะเกี่ยวอะไรกับโลก”
หลวงพ่อองค์ดำ นาลันทา อินเดีย
ชายคนนั้นบอกว่า “ตามปรกติพายุสุริยะจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก เนื่องจากโลกมีบรรยากาศและสนามแม่เหล็กคุ้มกัน มีเพียงนักบินอวกาศที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอวกาศเท่านั้นที่อาจได้รับอันตราย ทั้งจากพายุสุริยะและรังสีจากดวงอาทิตย์ สรุปว่าหากพายุสุริยะมาเยือนโลก สรรพสัตว์ทั้งหลายอาจจะไม่มีชีวิตรอดเลย โลกคงล่มสลายจริงๆ อีกอย่างมีคำทำนายตามปฏิทินของชนเผ่ามายาซึ่งปฏิทินมายาทำนายว่า ปี ค.ศ. 2012 เป็นวาระสุดท้ายของโลก ปฏิทินมายามีหลายแบบ แบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปี ค.ศ. 2012 คือแบบที่เรียกกันว่า ปฏิทินรอบยาว (long count) ระบุวันด้วยชุดของตัวเลข ตัวเลขชุดนี้แทนวันที่ได้ยาวนาน 5,126 ปี เทียบกับวันที่ตามระบบปฏิทินสากลตั้งแต่ วันที่ 11 สิงหาคม 3114 ปีก่อนคริสตกาลไปจนสุดจำนวนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 การสิ้นสุดของตัวเลขปฏิทินมายา หรือการครบจำนวนสูงสุดที่กำหนดไว้ในระบบนับวันระบบใดระบบหนึ่ง จะแสดงถึงการสิ้นสุดของโลก”
ชายคนนั้นอธิบายค่อนข้างยาว แต่ทว่าหลวงตาตามไม่ค่อยทัน เรื่องของดาราศาสตร์และสุริยะจักรวาลไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยตรง นอกจากโหราศาสตร์พอศึกษามาบ้าง จึงบอกว่า “ฟังไว้ไม่เสียหายอะไร หากเกิดขึ้นจริงเราก็เตรียมพร้อม ที่หลวงพ่อพุทธทาสสอนว่า “เตรียมตัวก่อนตาย” เมื่อเวลาความตายมาถึงก็จะไม่ได้ตื่นตกใจจนเกินไป
“หลวงตาครับในพระพุทธศาสนามีคำสอนที่เกี่ยวกับเรื่องโลกแตก วันสิ้นโลกบ้างไหมครับ”
วกกลับเข้ามาในทางศาสนาหลวงตาพอมีความรู้อยู่บ้าง พระพุทธเจ้าไม่ค่อยตอบคำถามเรื่องเกี่ยวกับโลกมากนักบางครั้งถึงกับบอกว่าไม่พยากรณ์ เป็นปัญหาประเภทที่เรียกว่า “อัพยกตปัญหา” จึงเปิดพระไตรปิฎกฉบับมือถือ ซึ่งวันนั้นบังเอิญถือติดมือไปด้วย เรื่องนี้มีแสดงไว้ในจุฬมาลุงโกยวาทสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (13/148/117) สรุปความว่า “วันหนึ่ง เวลาเย็น ท่านพระมาลุงกยบุตรออกจากที่เร้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อข้าพระองค์ไปในที่ลับ เร้นอยู่ เกิดความดำริแห่งจิตอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์ ทรงงดทรงห้ามทิฏฐิเหล่านี้ คือ โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้นสรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ข้อที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์ทิฏฐิเหล่านั้นแก่เรานั้น เราไม่ชอบใจไม่ควรแก่เรา เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทูลถามเนื้อความนั้น
(รูปแรก)สมเด็จพระสังฆราชกัมพูชา(ธรรมยุต)
ถ้าพระผู้มีพระภาคจักทรงพยากรณ์ ฯลฯ เราก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์ ฯลฯ เราจักลาสิกขามาเป็นคฤหัสถ์. ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่าโลกเที่ยง ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่าโลกเที่ยง ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า โลกไม่เที่ยง ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่าโลกไม่เที่ยง ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่าโลกเที่ยงหรือโลกไม่เที่ยง เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็นถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่าโลกมีที่สุด ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า โลกมีที่สุด
ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า โลกไม่มีที่สุด ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า โลกไม่มีที่สุด ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่าโลกมีที่สุดหรือโลกไม่มีที่สุด เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็นก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็น ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ชีพอันนั้นสรีระก็อันนั้น ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง เมื่อไม่ทรงรู้ไม่ทรงเห็น ก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่าเราไม่รู้ไม่เห็น
ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้า แต่ตายไปไม่มีอยู่ เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็น ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี ขอจงทรงพยากรณ์ แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่
ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่า สัตว์ เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็น
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรมาลุงกยบุตร เราได้พูดไว้อย่างนี้กะเธอหรือว่าเธอจงมาประพฤติพรหมจรรย์ในเราเถิด เราจักพยากรณ์ทิฏฐิ 10 แก่เธอ ดูกรมาลุงกยบุตร ได้ยินว่า เรามิได้พูดไว้กะเธอดังนี้ว่า เธอจงมาประพฤติพรหมจรรย์ในเราเถิด เราจักพยากรณ์แก่เธอ ฯลฯ ได้ยินว่า แม้เธอก็มิได้พูดไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาค จักทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ ฯลฯ ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอเป็นอะไร จะมาทวงกะใครเล่า
จากนั้นทรงยกตัวอย่างเหมือนคนถูกลูกศร เปรียบคนที่ถูกลูกศรว่า (13/148/119) “ดูกรมาลุงกยบุตร บุคคลใดแลจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์แก่เรา ฯลฯ เพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ตถาคตไม่พึงพยากรณ์ข้อนั้นเลย และบุคคลนั้นพึงทำกาละไปโดยแท้. ดูกรมาลุงกยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษต้องศรอันอาบยาพิษที่ฉาบทาไว้หนา มิตรอมาตย์ ญาติสาโลหิตของบุรุษนั้น พึงไปหานายแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดมาผ่า. บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักบุรุษ ผู้ยิงเรานั้นว่าเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศูทร ... มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ ...สูงต่ำหรือปานกลาง ... ดำขาวหรือผิวสองสี ... อยู่บ้าน นิคม หรือนครโน้น เพียงใด เราจักไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักธนูที่ใช้ยิงเรานั้น ไม่ใช่ผู้ขอร้อง หรือผู้ถูกขอร้องเป็นชนิดมีแหล่งหรือเกาทัณฑ์ ... สายที่ยิงเรานั้นเป็นสายทำด้วยปอผิวไม้ไผ่ เอ็น ป่านหรือเยื่อไม้ ลูกธนูที่ยิงเรานั้น ทำด้วยไม้ที่เกิดเองหรือไม้ปลูก หางเกาทัณฑ์ที่ยิงเรานั้น เขาเสียบด้วยขนปีกนกแร้ง นกตะกรุม เหยี่ยว นกยูงหรือนกชื่อว่า สิถิลหนุ (คางหย่อน) ... เกาทัณฑ์นั้นเขาพันด้วยเอ็นวัว ควาย ค่างหรือลิง ... ลูกธนูที่ยิงเรานั้น เป็นชนิดอะไร ดังนี้ เพียงใด เราจักไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น ดูกรมาลุงกยบุตร บุรุษนั้นพึงรู้ข้อนั้นไม่ได้เลย โดยที่แท้บุรุษนั้นพึงทำกาละไป ฉันใด ดูกรมาลุงกยบุตร บุคคลใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยกรณ์ทิฏฐิ 10 นั้น ฯลฯ แก่เราเพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ข้อนั้นตถาคตไม่พยากรณ์เลย โดยที่แท้ บุคคลนั้นพึงทำกาละไป ฉันนั้น”
ชายคนนั้นบอกว่า “หลวงตาครับพระไตรปิฎกฉบับนี้ผมอยากได้บ้าง สะดวกและพกพาง่าย “
ก็ไม่ยากอะไรมีเครื่องมือที่ทันสมัยก็นำมาใช้ได้ เพียงแค่นำพระไตรปิฏกฉบับที่มีเผยแผ่ทั่วไปใส่ลงไปในอุปกรณ์เช่นโทรศัพท์มือถือ หรืแท็บเล็ต ก็ใช้ได้แล้ว
ชายคนนั้นบอกว่า “แต่ว่าคำตอบนี้ไม่น่าจะเป็นคำตอบนะครับ หลวงตา มันฟังยากยังไงไม่รู้”
หลวงตาไซเบอร์ฯจึงบอกว่า “บางทีการไม่ตอบคือคำตอบอย่างหนึ่งเหมือนกัน อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คิดไปก็เท่านั้น คงแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว เพราะถ้าโลกแตกจริง คงไม่มีแต่เราคนเดียวหรอกที่จะต้องตาย คนอื่นก็ตายเหมือนกัน สิ่งที่ยังมาไม่ถึงคิดไปก็กลุ้มใจเปล่า สู้เอาเวลามาทำความดีเตรียมพร้อมด้วยการทำความดีน่าจะดีกว่า ส่วนเรื่องโลกแตกนั้นปล่อยให้เขาทำหน้าที่ของเขาไป แต่พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า อายุของพระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ห้าพันปี ตอนนี้ก็พึ่งผ่านมาเพียงสองพันห้าร้อยกว่าปี ยังมีเวลาอีกตั้งสองพันปี อาตมาว่าโลกคงมีผลกระทบนิดหน่อย พายุสุริยะและปฏิทินของชาวมายาอาจจะมีอะไรบางอย่างคลาดเคลื่อนไป”
เดินขึ้นกุฏิหลวงตาไซเบอร์ฯก็นั่งพิจารณาว่าหากโลกแตกจริงๆจะทำอย่างไร ก็ได้คำตอบกับตัวเองสั้นว่า “ทำความดีวันนี้ดีกว่า เผื่อว่าพรุ่งนี้มีอันเป็นไป” จากนั้นก็หลับอย่างสบายไร้กังวล โลกจะแตกหรือไม่แตกก็ตามทีเถิด เราเกิดมาและดำรงอยู่ในโลกนี้นานพอสมควรแล้ว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
11/12/55