ในวันที่เจ้าอาวาสวัดมัชฌันติการามได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะในราชทินนามที่ “พระพุทธิสารโสภณ” มีพิธีต้อนรับภายในพระอุโบสถนั้น ใบหน้าของพระภิกษุสามเณรทุกรูปและพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงานต่างแสดงออกด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มแห่งความสุข ที่ได้มีโอกาสได้ต้อนรับ “ท่านเจ้าคุณ” รูปใหม่ เป็นเจ้าคุณรูปแรกของวัดมัชฌันติการามในรอบ 138 ปี
ปัจจุบันพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญหรือที่เรียกว่า “ท่านเจ้าคุณ” ทั่วประเทศมีจำนวน 520 รูปเช่นพระพุทธิสารโสภณ เป็นต้น พระราชาคณะชั้นราชจำนวน 210 รูป พระราชาคณะชั้นเทพจำนวน 100 รูป พระราชาคณะชั้นธรรมจำนวน 49 รูป พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญยบัฎ จำนวน 21 รูป สมเด็จพระราชาคณะจำนวน 8 รูป และสมเด็จพระสังฆราชอีก 1 พระองค์
หากดูตามสถิติแล้ว การที่จะได้รับการยกย่องและมีคำนำหน้าว่า “ท่านเจ้าคุณ” นั้นจึงมีไม่มาก สมณศักดิ์รองลงมาคือ “พระครู” ซึ่งปัจจุบันมีเป็นจำนวนมาก รองลงมาจากพระครูคือ “พระมหา” แต่พระมหากับพระครูนั้นบางที พระมหาอาจจะมีฐานะสูงกว่าพระครูเช่น “พระมหาเปรียญเอกคือ เปรียญธรรม 7-8-9 มีฐานะเทียบเท่า “เจ้าคุณ” คือหากได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์ก็เลื่อนจาก “พระมหา” ขึ้นเป็น “พระราชาคณะ” ทันที ส่วนพระมหาตั้งแต่ชั้นประโยค 3-6 หากได้เลื่อนสมณศักดิ์อาจจะเป็น “พระครู หรือบางรูปเลื่อนขึ้นเป็น “เจ้าคุณ” ก็ได้ ตำแหน่งพระครูและเจ้าคุณ ต้องได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เลื่อนและตั้งปีละครั้ง ในวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี
ส่วน “พระมหา” ต้องได้มาเพราะการศึกษา คือสอบผ่านตามลำดับชั้น ต้องเรียนภาษาบาลี ปัจจุบัน เปรียญธรรม 9 ประโยคเทียบเท่าชั้นปริญญาตรี สาชาวิชาเอกภาษาบาลี สามารถเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาภาษาบาลีในระดับปริญญาโทและเอกได้ เหมือนปริญญาตรีทุกประการ
ภายในพระอุโบสถวันนั้น พระราชญาณปรีชา เจ้าคณะแขวง หรือเจ้าคณะตำบล ได้เป็นประธานได้กล่าวสัมโมทนียกถา แสดงความชื่นชมยินดีกับ “เจ้าคุณพระพุทธสารโสภณ” สรุปความได้ตอนหนึ่งว่า “โบราณว่า “ยศช้าง ขุนนางพระ” ไม่ควรตื่นเต้นจนเกินไป ช้างนั้นแม้จะได้การสถาปนาเป็นพระยาเป็นเจ้าพระยาอย่างเช่นช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร แต่ก่อนชื่อ “พลายภูเขาทอง” เมื่อเป็นช้างพระที่นั่งก็ได้รับการสถาปนาเป็น “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” เมื่อชนะศึกในสงครามยุทธหัตถีก็ได้รับการสถาปนาเป็น “เจ้าพระยาปราบหงสา” แม้จะเป็น “เจ้าพระยา” ช้างก็ยังดำเนินชีวิตตามปรกติคือกินหญ้า กินกล้วย อ้อย เหมือนเดิม ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่ได้ทำให้ช้างเปลี่ยนไป ช้างยังคงปฏิบัติตนแบบช้าง ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าพระยา
พระสงฆ์ก็เหมือนกัน แม้จะได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็น “เจ้าคุณ” พระสงฆ์ก็ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิม แต่เพิ่มหน้าที่มากับใบตราตั้งว่า “ขอพระคุณเจ้าจงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในอาราม โดยสมควร จงเจริญสุขสวัสดิ์ในพระพุทธศาสนาเทอญ” หน้าที่ของความเป็นพระสงฆ์ก็ยังคงต้องทำหน้าที่ต่อไป
รุ่งเช้าพระพุทธสารโสภณออกบิณฑบาตตามปรกติ กลับมาถึงวัดด้วยรอยยิ้ม แม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข เป็นเจ้าคุณวันแรกก็ออกบิณฑบาต ตามปรกติท่านเจ้าอาวาสจะออกบิณฑบาตแทบทุกวัน ยกเว้นวันไหนที่มีภารกิจ จึงเป็นความเป็นธรรมดาของท่าน หากได้ออกบิณฑบาตจะมีความสุข ชาวบ้านในย่านบางซื่อมักจะนิยมเรียกสั้นๆว่า “หลวงพ่อยิ้ม” เพราะท่านเป็นพระที่พูดน้อยแต่ยิ้มมาก
ศิษยานุศิษย์ให้คำนิยามสั้นๆเกี่ยวกับพระพุทธิสารโสภณว่า “เป็นครูที่ดีของศิษย์ เป็นมิตรของประชาชน เป็นคนที่ดีของประเทศชาติ เป็นทายาทของพระศาสนา” ท่านเจ้าคุณฯ มาจากชนบทแต่ศึกษาเล่าเรียนจบปริญญาเอก สอนหนังสือมานาน มีลูกศิษย์จำนวนมาก ต้อนรับพุทธศาสนิกชนทุกคนเท่าเทียมกัน โดยไม่ได้แบ่งแยกว่ายากดีมีจนอย่างไร ใครมาหาท่านเจ้าคุณฯก็จะทักทายด้วยรอยยิ้ม ในฐานะของประชาคนไทยก็ดำรงตนเป็นคนดีของประเทศ ไม่ก่อเหตุสร้างปัญหาให้แก่สังคม และเป็นทายาทผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา สั่งสอนชาวประชาให้ละชั่ว ทำดี มีใจบริสุทธิ์ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
เดินสวนทางกับโยมคนหนึ่งจึงถามว่า มาจากไหน โยมตอบว่า มาสนทนาธรรมพูดคุยกับท่านเจ้าคุณ ท่านอารมณ์ดี คุยสนุกมาก วันนี้โยมดีใจมาก ตอนนั้นเกิดสงสัยขึ้นมาในบัดดลว่า ตามปรกติหลวงพ่อเจ้าอาวาสมักจะไม่ค่อยพูดคุยกับใครส่วนมากจะเป็นผู้นั่งฟังด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้โยมพูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่พอได้เจ้าคุณกับคุยเก่ง คุยสนุกขึ้นมาหรืออย่างไร จึงเดินขึ้นกุฏิท่านเจ้าคุณ เห็นท่านกำลังนั่งหลับอยู่บนอาสน์นั่นเอง พอได้ยินเสียงคนเดิน ท่านเจ้าคุณจึงลืมตาขึ้นมองและกำลังจะหลับต่อ
จึงถามท่านเจ้าคุณฯว่า “โยมบอกว่ามาคุยกับเจ้าคุณฯสนุกมาก หลวงพ่อเจ้าคุณฯคุยเรื่องอะไรครับ”
ท่านเจ้าคุณพระพุทธิสารโสภณ หันมายิ้มอันประกอบด้วยเมตตาก่อนจะตอบสั้นๆว่า “คุยสนุกอะไร โยมคนนั้นแกพูดอยู่คนเดียว ผมก็ได้แต่ฟังไปหลับไป” เอกลักษณ์ของท่านเจ้าคุณฯ ยังคงที่เป็นปรกติเหมือนเดิม แม้จะหลับก็ยังยิ้ม
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
07/12/55