ในช่วงนี้โรงเรียนต่างๆมีการสอบคัดเลือกนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ผู้ปกครองต่างก็อยากให้ลูกหลานของตนเข้าเรียนในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง จึงต้องเคี่ยวเข็ญอย่างหนักเพื่อได้เข้าเรียน ส่วนโรงเรียนของคณะสงฆ์ตอนนี้การสอบทุกชั้นผ่านไปหมดแล้ว พระภิกษุสามเณรหนุ่มหลายท่านอาจจะต้องลาสิกขาออกไปเพื่อเผชิญกับโลกภายนอกต่อไป
ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งบวชเรียนมานานจนสอบได้นักธรรมชั้นเอก ต่อมาได้ลาสิกขาออกไปประกอบอาชีพหลายอย่าง จนมีครอบครัวมีลูกชายกำลังน่ารัก แต่ก็ยังไม่สามารถตั้งตัวได้สักที ยังคงทำงานก่อสร้างรับจ้างไปวันๆ
อยู่มาวันหนึ่งได้มากราบหลวงตาที่เคยเป็นอาจารย์สาธยายความลำบากยากเข็ญให้ฟัง ตอนหนึ่งเขาได้กล่าวพาดพิงถึงธรรมะว่า “ธรรมะนั้นไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย ใช้อะไรก็ไม่ได้ ผมบวชมาตั้งหลายปีศึกษาธรรมะจนมีความรู้ทางธรรมะพอสมควร แต่พอลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสธรรมะก็ใช้อะไรไม่ได้” เขาจึงสรุปให้หลวงตาซึ่งนั่งฟังอย่างตั้งใจว่า “ธรรมะไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตฆราวาสเลย เพราะใช้ทำมาหากินอะไรไม่ได้เลย หลวงตาควรเลิกสอนธรรมะได้แล้วน่าจะสอนวิชาชีพเพื่อที่จะทำให้ได้ออกไปทำมาหากินได้”

หลวงตายังคงนั่งฟังอย่างตั้งใจ บังเอิญช่วงนั้นหลวงตากำลังป่วยเป็นไข้หวัด แม้จะพยายามปิดบังแต่ก็ได้ไอออกมาหลายครั้ง เจ้าหนุ่มเห็นอาการแล้วจึงบอกให้หลวงตารอสักครู่ ไม่นานนักก็ย้อนกลับมาอีกพร้อมกับยาแก้หวัดและยาแก้ไอ เมื่อถวายหลวงตาเสร็จแล้วก็ได้กราบลากลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นชายหนุ่มคนนั้นได้ย้อนกลับมาเยี่ยมอาการป่วยของหลวงตาอีกครั้ง หลวงตาก็ยังคงไออยู่เหมือนวันก่อน เขาจึงได้ถามหลวงตาว่า “ไม่ได้ฉันยาหรือครับ” หลวงตาได้เพียงยิ้ม ขวดยาแก้ไอยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่ได้เปิดทานแต่อย่างใด
เขาจึงบอกหลวงตาว่า “เวลาป่วยต้องทานยาถึงจะหาย ถ้าไม่ทานยาเมื่อไหร่จะหาย ยาเขามีไว้รักษาโรค มิใช่มีไว้เฉยๆ" จากนั้นจึงอ่านฉลากยาให้ฟังว่า "ให้ทานวันละสามเวลาหลังอาหาร หากอาการยังไม่ดีขึ้นภายในสามวันให้รีบไปปรึกษาแพทย์ หลวงตาไม่ได้อ่านหรือ”

ดอกคูณข้างกุฏิเห็นว่าสวยดี ไม่เกี่ยวกับสีเสื้อใดๆ
หลวงตาจึงบอกว่า “เอ็งก็สรุปและเข้าใจดีแล้ว ธรรมะก็เหมือนยานั่นแหละ แต่เป็นยารักษาโรคทุกข์ ถ้าคนที่รู้จักโรคทุกข์คือเกิด แก่ เจ็บตาย ธรรมะก็จะมีประโยชน์ มนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนมีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าไม่รู้ว่าตนเองป่วย จะรักษาอย่างไรกัน” พูดจบหลวงตาก็ยกขวดยาแก้ไอขึ้นฉัน
ความจริงวิชาที่สำคัญในโลกมีสองประเภทคือวิชาชีพและวิชาชีวิต วิชาชีพต้องศึกษาเรียนรู้ใช้ทักษะความชำนาญ ส่วนวิชาชีวิตต้องอาศัยความเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งซึ่งอยู่ภายใต้กฎแห่งความไม่แน่นอนคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่ใช่ตัวตนที่จริงของเรา วิชาชีวิตนี้หากไม่มองด้วยการวิเคราะห์แยกแยะด้วยปัญญาอันละเอียดลึกซึ้งจะมองไม่ออกบอกไม่ได้ใช้ไม่เป็น
วิชาชีพเรียนไปเพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว คนทุกคนต่างก็มีวิชาชีพแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการศึกษาเรียนรู้ ดังนั้นในแต่ละประเทศจึงมีโรงเรียน มีมหาวิทยาลัยเพื่อสอนวิชาชีพ คนส่วนมากจึงพยายามแข่งขันเข้าเรียนในที่ต่างๆเพื่อให้มีวิชาชีพติดตัว เราจึงเห็นมนุษย์ประกอบอาชีพหลากหลาย เพราะเรียนมาต่างกันนั่นเอง
วิชาชีวิตเป็นวิชาที่ไม่มีโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยสอน แต่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ พื้นฐานทางสังคม หรือการอบรมของพ่อแม่ซึ่งจะสอนให้รู้จักการดำเนินชีวิตตามทำนองครองธรรม หรืออีกแห่งหนึ่งวิชาชีวิตมีอยู่ในศาสนา เพราะศาสนาสอนวิชาชีวิต ผู้ที่ศึกษาทั้งวิชาชีพและวิชาชีวิตไปพร้อมๆกันมักจะประสบความสำเร็จและมีความสุขกับการใช้ชีวิต แม้จะมีอาชีพที่ไม่ค่อยมีเกียรติในสังคมก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะเขาเข้าใจชีวิต การทำงานคือการใช้ชีวิต และการใช้ชีวิตที่สมควรตามทำนองครองธรรมคือการปฏิบัติธรรม

ความสวยงามมีอยู่ทุกที่ ถ้าใจดีก็สัมผัสได้
ชายหนุ่มคนนั้นเรียนธรรมะมามาก แต่เรียนเพื่อสอบเรียนแบบท่องจำจึงเข้าใจแต่เนื้อหา แต่ไม่เข้าใจสาระสำคัญของธรรมะ นักธรรมเอกที่สอบได้ก็เป็นเพียงความรู้ที่เกิดจากความจำ แต่ไม่เคยนำธรรมะจริงๆมาใช้ จึงเป็นเหมือนคนป่วยที่ไม่กินยา ที่สำคัญเป็นคนป่วยที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังป่วย รู้ธรรมะเพียงในตำรา แต่หากไม่นำมาใช้ธรรมะก็ไร้ประโยชน์
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
29/03/53