ในงานกฐินที่วัดฟ้าห่วน จังหวัดยโสธร ช่วงนั้นพิธีกฐินเสร็จไปแล้ว แดดกำลังร้อนจึงหลบแดดนั่งพักที่ศาลามุงหญ้าใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สายลมแผ่วโชยมาเบาๆกำลังเคลิบเคลิ้มนึกอยากหลับสักงีบ แต่ขณะที่จะหลับนั้น มีชายชราคนหนึ่งถือกระเป๋าแวะเข้ามา จากนั้นก็ชวนคุย ชายชราบอกว่า ผมมีของดีมาเสนอ หากหลวงพี่อยากดูจะให้ดู เมื่อเห็นว่าการมีเพื่อนคุยในเวลาเช่นนี้น่าจะดีกว่าการอยู่คนเดียว จึงอนุญาต ชายชราจึงเปิดกระเป๋าและนำสิ่งของต่างๆออกมาเสนอมีทั้งพระเครื่องแทบทุกรุ่นทั้งพระสมเด็จวัดระฆัง หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อผาง หลวงปู่แหวน เป็นต้น
เมื่อบรรยายสรรพคุณไปได้สักพักก็เริ่มเสนอราคาให้เช่ามีสนนราคาตั้งแต่ 100 บาทจนถึง 1000 บาท เมื่อบอกปฏิเสธชายชรายังพยายามบรรยายสรรพคุณต่อไป จนกระทั่งมีชายชราอีกคนซึ่งพึ่งนับญาติกันเมื่อวันที่ผ่านมา พอเดินเข้ามาหยิบพระเครื่ององค์หนึ่งจากนั้นก็บอกว่า “ของปลอมไม่ใช่ของจริง ถ้าของจริงต้องกินข้าวกินน้ำได้ เราไปกันเถอะ” ชายชราคนขายของขลังได้แต่นั่งทำตาปริบๆพูดอะไรไม่ออก เป็นอันว่ามีคนมาช่วยให้รอดพ้นจากการถูกหลอกไปได้หวุดหวิด บางครั้งก็ดูไม่ออกว่าอะไรคือของจริงอะไรคือของปลอม
มนุษย์เรารู้หน้าไม่รู้ใจอาจจะโดนหลอกได้ง่ายๆ จะรู้ว่าใครเป็นคนดีมีศีลธรรมหรือไม่นั้น เห็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกยังตัดสินไม่ได้ ต้องอยู่ร่วมกันนานๆจึงจะรู้ได้ ดังที่มีแสดงไว้ในปฏิสัลลานสูตร ขุททกนิกาย อุทาน (25/132/149) มีข้อความตอนหนึ่งว่า “สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปุพพารามปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้น ประทับนั่งอยู่ภายนอกซุ้มประตู ลำดับนั้นแลพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็สมัยนั้น ชฎิลเจ็ดคน นิครนถ์เจ็ดคน อเจลกเจ็ดคน เอกสาฎกเจ็ดคน และปริพาชกเจ็ดคนมีขนรักแร้และเล็บงอกยาว หาบบริขารหลายอย่าง เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทอดพระเนตรเห็นนักบวชเหล่านั้นหาบบริขารหลายอย่างเดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วทรงลุกจากอาสนะ ทรงกระทำผ้าห่มเฉวียงบ่า ข้างหนึ่งแล้วทรงคุกพระชานุมณฑลเบื้องขวาลงที่แผ่นดิน ทรงประนมอัญชลีไปทางนักบวชเหล่านั้น แล้วทรงประกาศพระนามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าคือพระเจ้าปเสนทิโกศล
ลำดับนั้นแล เมื่อนักบวชเหล่านั้นหลีกไปแล้วไม่นาน พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านเหล่านั้น เป็นคนหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์หรือในจำนวนท่านผู้บรรลุอรหัตตมรรคในโลก
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม ทรงครองฆราวาสอันคับคั่งด้วยพระโอรสและพระมเหสีอยู่ ทรงใช้สอยผ้าแคว้นกาสีและจันทน์อยู่ ทรงทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องประเทืองผิวอยู่ ทรงยินดีเงินและทองอยู่ ยากที่จะทรงทราบได้ว่า ท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันต์ หรือว่าท่านเหล่านี้บรรลุอรหัตตมรรค
ดูกรมหาบพิตร ศีล พึงทราบได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน และศีลนั้นแลพึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย เมื่อมนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ
ความเป็นผู้สะอาด พึงทราบได้ด้วยการปราศรัย และความเป็นผู้สะอาดนั้นแลพึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ
กำลังใจ พึงทราบได้ในเพราะอันตราย และกำลังใจนั้นแลพึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยการนิดหน่อย มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ ปัญญาพึงทราบได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้นแลพึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยการนิดหน่อย มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญไม่เคยมีมาพระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม ทรงครองฆราวาสอันคับคั่งด้วยพระโอรสและพระมเหสีอยู่ ทรงใช้สอยผ้าแคว้นกาสีและจันทน์อยู่ ทรงทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องประเทืองผิวอยู่ ทรงยินดีเงินและทองอยู่ ยากที่จะรู้ได้ว่า ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ หรือว่าท่านเหล่านี้บรรลุอรหัตตมรรค ดูกรมหาบพิตรสิ่งทั้งปวงได้มีแล้วในกาลก่อน ไม่มีแล้วในกาลนั้น สิ่งทั้งปวงไม่มีแล้วในกาลก่อน ได้มีแล้วในกาลนั้น ไม่มีแล้วจักไม่มี และย่อมไม่มี ในบัดนี้
ไม่ว่าพระสงฆ์หรือคนก็อาจจะโดนหลอกได้เหมือนกัน เมื่อหันหลังกลับไปมองยังชายชราที่ใต้ต้นไม้อีกครั้ง ตอนนั้นเห็นมีชาวบ้านอีกหลายคนกำลังมุงดูสิ่งของต่างๆที่ชายชรากำลังเสนอขาย ได้แต่คิดในใจคนเดียวก่อนจะออกจากบริเวณวัดฟ้าห่วนแห่งนั้นว่า “คงต้องมีใครสักคนหลงกลชายชราคนนั้น”บางทีแม้จะรู้ว่าเขาหลอกก็ยังเต็มใจให้หลอก การจะตัดสินใครสักคนอย่าตัดสินเพียงเพราะกิริยาอาการภายนอก คนรูปงามอาจใจร้ายก็ได้ เพราะมนุษย์เรารู้แต่หน้าแต่ไม่อาจจะหยั่งถึงจิตใจได้ คนมีศีลรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ความสะอาดรู้ได้ด้วยการปราศรัย กำลังรู้ได้เมื่อภัยมา ส่วนปัญญารู้ได้จากการสนทนา
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
07/11/55