เสียงเครื่องยนต์ดังลั่นที่ข้างๆกุฏิ สงสัยว่ารถมาทำอะไรในบริเวณวัด จึงต้องออกไปดู เป็นรถเก็บขยะจากกรุงเทพมหานครกำลังเก็บเศษกระเบื้องมุงหลังคาเก่าที่ทางวัดเปลี่ยนใหม่ กระเบื้องเก่าเหล่านั้นจึงกลายเป็นเศษขยะใช้การอะไรไม่ได้ เมื่อมีของใหม่ที่ดีกว่า ของเก่าก็ต้องถูกทอดทิ้งเป็นธรรมดา มีของเก่าเพียงไม่กี่อย่างที่ยิ่งเก่ายิ่งดี ยิ่งมีอายุยาวนานยิ่งขายได้ราคาสูงเช่นพระเครื่องเป็นต้น บางองค์เช่าซื้อกันราคาเป็นล้านบาท คนที่นิยมของเก่าบางคนลงทุนใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งของเหล่านั้น แต่สำหรับสิ่งของอื่นเมื่อเก่าใช้การอะไรไม่ได้ก็ต้องทิ้ง
บนศาลาชั้นสองที่กำลังซ่อมแซมนั้น สายตาพลันเหลือบไปเห็นแม่ลูกที่ยังสาว เห็นครั้งแรกนึกว่าเป็นพี่สาว แต่ความจริงเธอเป็นแม่ที่อายุยังน้อย แม่ที่ยังเด็กและเด็กสองคนที่กำลังโตกำลังจ้องมองดูรถที่กำลังทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ อันที่จริงก็ไม่อยากรบกวนความสุขของพวกเขาแต่ประการใด เพียงแต่เมื่อเห็นภาพแล้ว เกิดอยากถ่ายภาพขึ้นมาจึงหยิบกล้องและถ่ายภาพเก็บเอาไว้ ในช่วงที่ไม่ได้เดินทางไปไหน บางครั้งครั้งเหตุการณ์ที่อยู่ใกล้ตัวก็สามารถถ่ายภาพได้เช่นกัน ภาพบางภาพไม่ต้องมีคำอธิบายก็เข้าใจได้ แม่มีความสุขความเพลิดเพลินใจที่ได้เลี้ยงดูบุตร
หญิงคนงานอายุคงยังไมถึงยี่สิบปี แต่มีลูกชายถึงสองคน พ่อเป็นคนงานก่อสร้าง พักอยู่ที่ศาลาที่กำลังซ่อมแซมนั่นเอง บางวันยังให้ขนมเด็กสองคนนั้นกิน เด็กเริ่มมีความคุ้ยเคยกับพระภิกษุสามเณรบ้างแล้ว เด็กทั้งสองกำลังอยากรู้อยากเห็น แม่ต้องคอยเฝ้าไม่ให้ห่างจากสายตา ซึ่งมองดูลูกด้วยความรักและความห่วงใย หากเขาอยู่อย่างมีความสุขแม่ก็มีความสุขไปด้วย คนมีบุตร ย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร แต่ถ้าหากบุตรมีอันเป็นไปก็ย่อมจะต้องโศกเศร้าเป็นธรรมดา คนมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร ความเพลิดเพลินและความเศร้าโศกอยู่ที่ความรัก ความผูกพันและการสูญเสีย
ใครมีทรัพย์สมบัติอะไรที่เป็นของรักของหวงก็ย่อมจะมีความผูกพันกับสมบัตินั้น อาทิเช่นคนเลี้ยงโคที่กำลังไล่ต้อนฝูงโคออกหากิน เมื่อตัวใดออกนอกฝูงก็จะถูกต้อนกลับเข้าฝูง คนเลี้ยงโคก็ย่อมห่วงกังวลกับฝูงโคของตนเอง ในแต่ละวันต้องคอยเฝ้าคอยเลี้ยงให้โคเจริญเติบโต ส่วนพอโตได้ที่แล้วจะทำอะไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากมีโคยังอยู่เป็นปรกติ คนเลี้ยงโคย่อมจะเพลิดเพลินเพราะโค แต่ถ้าโคหายไปก็ย่อมจะต้องตามหา และเกิดความเศร้าโศก
ในนันทนสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/437-439/152) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นมารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้วได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า “คนมีบุตร ย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร คนมีโคก็ย่อมเพลิดเพลินเพราะโคฉันนั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลายนั่นแลเป็นเครื่องเพลิดเพลินของนรชน เพราะคนที่ไม่มีอุปธิหาเพลิดเพลินไม่”
พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่านี่คือมารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า “คนมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโคก็ย่อมเศร้าโศกเพราะโคฉันนั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลายนั่นแลเป็นเหตุเศร้าโศกของนรชน เพราะคนที่ไม่มีอุปธิหาเศร้าโศกไม่” มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่าพระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเราพระสุคตทรงรู้จักเราดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
คำว่า “อุปธิ” เป็นคำนามเพศชายภาษาบาลีแปลว่า “ร่างกาย ล้อกิเลสเครื่องทรงไว้ เหตุแห่งความเวียนเกิด กิเลสที่ทำให้ติดอยู่ในวัฏฏะ” มีอีกคำหนึ่งที่ใกล้เคียงกันว่า “อุปธิก” แปลว่ามีอุปธิ มีเครื่องผูกพัน มีกิเลสเป็นเหตุให้เวียนเกิด
ความผูกพันจึงเป็นสาเหตุแห่งความเพลิดเพลินและความโศก และความเพลิดเพลินและความโศกก็มาจากจากสิ่งที่เรารัก เมื่อสิ่งนั้นเป็นไปตามที่เราคาดหวังจะเป็นความสุข แต่ถ่าหากไม่เป็นไปตามที่หวังก้จะมีความทุกข์ ทั้งสุขและทุกข์ส่วนหนึ่งมาจากการยึดมั่นถือมั่น ผู้ที่ไม่มีความผูกพันก็ย่อมละความทุกข์ได้เพราะไม่มีเหตุที่จะต้องเพลิดเพลินและเศร้าโศก แต่สำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ยังมีอุปธิก็จะต้องพบทั้งความเพลิดเพลินและความเศร้าโศก หากมีความผูกพันกับสิ่งใดต้องทำใจไว้สองประการคือความสุขความเพลิดเพลินอันเกิดจากสิ่งที่เรารัก และความทุกข์ความเศร้าโศกเมื่อสูญเสียของรัก นั่นเป็นธรรมดาของโลก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
24/10/55