คำสัญญาก่อนที่จะสิ้นใจโบราณว่ามีพลังยิ่งนัก หากใครที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับใครไว้ให้รีบกระทำในสมัยที่ยังมีลมหายใจอบยู่ ไม่อย่างนั้นอาจจะมีความผูกพันไปอีกนาน บางคนไม่มีโอกาสได้ถอนคำสัญญาเลย ใครเคยให้คำมั่นสัญญาหรือคำสาบานไว้กับใครที่ไหนบ้าง หากมีโอกาสควรรีบไปถอนคำสาบาน เพราะหากขืนรอช้าบางครั้งอาจจะไม่มีโอกาสได้ถอนคำสัญญาเลยก็ได้ ชีวิตมนุษย์นั้นกำหนดวันเวลาสิ้นลมหายใจไม่ได้
คุณตาอ่อน เป็นตาของผู้เขียนเสียชีวิตมานานร่วมยี่สิบปีแล้ว ทราบประวัติเพียงสั้นๆว่า “คุณตาเป็นคนบ้านฟ้าห่วน จังหวัดอุบลราชธานี พอโตเป็นหนุ่มได้เดินทางจากบ้านเกิดมาทำมาค้าขายจนมาถึงจังหวัดอุดรธานี และได้พบกับคุณยายแต่งงานมีครอบครัว จนมีลูกมีหลาน คุณตาจึงอยู่ที่จังหวัดอุดรธานีและในวาระสุดท้ายได้ย้ายตามลูกสาวไปตั้งรกรากที่จังหวัดชัยภูมิและเสียชีวิตที่นั่น” ประวัติสั้นๆแค่นั้น เพราะสมัยที่เป็นเด็กคุณตาเป็นคนดุมาก พวกเด็กๆไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้ แกเป็นคนอารมณ์ร้อน หากโกรธขึ้นมาเมื่อไหร่หยิบได้อะไรที่อยู่ใกล้มือจะใช้เป็นอาวุธได้ทันที หากได้ยินเสียงเรียกหาเมื่อไหร่หลานๆก็จะรีบวิ่งเข้ามาหาตามคำเรียกขานทันที เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะโดนด่าแบบไม่มีเหตุผลได้ทุกเวลา แต่อีกมุมหนึ่งคุณตาเป็นคนที่รักษาคำมั่นสัญญามาก หากได้ตกปากรับคำกับใครไว้ที่ไหนก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ยอมผิดคำสัญญาโดยเด็ดขาด
ผู้เขียนก็ไม่มีความทรงจำกับคุณตาสักเท่าไหร่ อีกอย่างไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เป็นคนจรร่อนเร่ตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่ได้สอบถามประวัติความเป็นมาของคุณตาไว้เลย ไม่กี่วันที่ผ่านมามีเสียงเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยแทรกเข้ามาในยามสาย ปลายสายถามชื่อผู้รับเมื่อแน่ใจว่าเป็นคนที่กำลังต้องการพูดด้วยจึงบอกว่า “ผมโทรมาจากบ้านฟ้าห่วน จังหวัดยโสธร เป็นลูกของน้องชายคุณตาอ่อน ผมกำลังจะจัดงานกฐินสามัคคีที่วัดบ้านฟ้าห่วน และอยากทำบุญรวมญาติ จึงขอนิมนต์ท่านมหามาร่วมงานกฐินในครั้งนี้ด้วย”
ไม่เคยทราบมาก่อนหมู่บ้านแห่งนี้อยู่แห่งหนตำบลใดในเขตจังหวัดยโสธร รู้อย่างเดียวว่าเป็นบ้านเกิดของคุณตาที่เสียชีวิตไปแล้วตอนนั้นพื้นที่แห่งนั้นยังเป็นจังหวัดอุบราชธานีภายหลังได้แบ่งแยกเป็นจังหวัดยโสธรและอำนาจเจริญ และเหล่าบรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน วันนั้นตอบตกลงไปร่วมงานทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ปัจจุบันประเทศไทยไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว จะเดินทางไปไหนมาไหนถนนหนทางสะดวกสบายไม่ต้องกลัวว่าจะไปหาเป้าหมายไม่พบ งานกฐินบ้านฟ้าห่วนกำหนดไว้วันที่ 3 พฤศจิกายน 2555 หลังออกพรรษาเพียงสามวัน
สมัยที่ยังมีชีวิตคุณตาอ่อนมีสัญญาไว้กับผู้เขียนอย่างหนึ่ง คุณตาบอกว่า “หากท่านอุปสมบทได้ครบสิบพรรษาเมื่อไหร่ ตายินดีจ่ายเงินให้สามหมื่นบาททันที และหากอุปสมบทครบยี่สิบพรรษาเมื่อไหร่จะพาไปทอดกฐินที่บ้านฟ้าห่วน” เรียกว่าเอาเงินมาล่อใจกันเลย สมัยนั้นราคาทองประมาณบาทละเพียงสามพันบาท ตอนที่ทำสัญญานั้นผู้เขียนพึ่งอุปสมบทได้เพียงสองปี วันนั้นได้ไปบอกลาพ่อแม่เพื่อจะลาสิกขาในเย็นวันหนึ่ง แต่พ่อแม่ไม่อนุญาตจึงยังลาสิกขาไม่ได้ บังเอิญว่าวันนั้นคุณตาอารมณ์ดีจึงได้เอ่ยคำพูดนั้นออกมา อันที่จริงผู้เขียนเองก็ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรกับคุณตา เพราะคิดอยู่ว่าถึงอย่างไรชีวิตในสมณเพศคงไปไม่ตลอดรอดฝั่ง อย่างมากคงไม่เกินสามปี
แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ที่คิดว่าจะลาสิกขาแต่ก็ยังไม่ได้ทำ แต่ทว่าในพรรษาที่สามนั้นได้ออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรได้พบครูบาอาจารย์ ได้ศึกษาเรียนรู้วิถีปฏิบัติ จนกระทั่งลืมการลาสิกขาไปเลย จากนั้นจึงเริ่มต้นศึกษาภาษาลี นั่นก็ยิ่งต้องใช้เวลาหลายปี สอบตกบ้างสอบได้บ้าง มีคติในการศึกษาตอนนั้นว่า “สอบตกเรียนใหม่ สอบได้เรียนต่อ” เวลาก็ผ่านไปหกเจ็ดพรรษาแล้ว
แม้จะเคยกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้คุณกับคุณตาสักที ได้ทราบจากคำบอกเล่าของโยมแม่ว่า “คุณตาไปพำนักที่แพหาปลา ทำงานหนักหาปลาขาย ใครห้ามก็ไม่ฟัง ทุกคนอยากให้คุณตาอยู่เฉยๆได้พักผ่อนในยามชรา ลูกหลานก็พอมีอันจะกิน ไม่ได้ลำบากยากจนอะไรนัก คุณยายก็พลอยเป็นไปกับคุณตาด้วย สองตายายเลยต้องไปอยู่ที่แพริมเขื่อนเป็นการถาวร ได้ยินคุณตาเล่าให้ฟังว่าอยากหาเงินสักสามหมื่นบาท แต่ไม่ได้บอกว่าจะเอาเงินไปทำอะไร นี่ก็ปีหนึ่งเข้าไปแล้ว หาเงินได้วันละยี่สิบสามสิบบาท ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงสามหมื่นบาท”
ผู้เขียนจึงคิดถึงคำสัญญาที่คุณตาเคยบอกไว้ อยากไปเยี่ยมและบอกว่าไม่ต้องกังวล เงินไม่สำคัญแล้ว แต่ความสุขที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินตราเป็นความสุขที่ยอดเยี่ยมกว่า เงินตราเป็นเพียงอามิส ความสุขในพระพุทธศาสนาจำแนกไว้สองประการดังที่ปรากฎในอังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต (20/313-315/75) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุขสองอย่างนี้คือสุขอิงอามิส (สุขอาศัยเหยื่อล่อ สุขจากวัตถุคือกามคุณ และสุขไม่อิงอามิส (สุขไม่ต้องอาศัยเหยื่อล่อ สุขปลอดโปร่งเพราะใจสงบหรือได้รู้แจ้งตามเป็นจริง) บรรดาสุข สองอย่างนี้สุขไม่อิงอามิสเป็นเลิศ”
ในที่สุดก็ไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมคุณตาคุณยายทั้งสองท่านเลย ได้แต่ฝากบอกโยมแม่ว่า ให้เลิกคิดถึงคำสัญญา ที่เคยให้ไว้ได้แล้ว อีกอย่างหนึ่งสถานที่แห่งนั้นเป็นที่ประกอบอาชีพชาวประมง อีกอย่างแพอยู่ไกลมากริมเขื่อนอุบลรัตน์โน่น เดินทางไปลำบาก แต่ตอนนั้นผู้เขียนอุปสมบทได้แปดพรรษาแล้ว มาอยู่จำพรรษาที่วัดมัชฌันติการามกรุงเทพมหานคร กำลังจะเรียนจบได้รับปริญญาศาสนศาสตรบัณฑิต
ปีนั้นผู้เขียนอุปสมบทเป็นปีเก้า อายุพรรษาก็เก้าพรรษา กลับจากเรียนหนังสือที่วัดบวรนิเวศวิหารตอนเย็น มีสามเณรรูปหนึ่งมาบอกว่า “มีตาแก่คนหนึ่งมาถามหาหลวงพี่ แกยืนอยู่ใกล้ประตูทางเข้าพระอุโบสถนี่แหละ ตาคนนั้นบอกว่า หากพบท่านพระมหาบุญไทยให้รีบกลับบ้านด่วนด้วย คุณตาเป็นห่วง แกสั่งสั้นๆแค่นั้นครั้นหันกลับมาอีกทีแกก็หายไปแล้ว”
เดินขึ้นกุฏิคิดไม่ออกว่าใครจะมาถามหาและบอกให้กลับบ้าน จากนั้นก็ดูหนังสือเพื่อเตรียมสอบปลายภาคซึ่งเป็นการสอบเป็นวิชาสุดท้าย ดูหนังสือจนดึกดื่น ก่อนจะหลับใหลไปกับรัตติกาล
จนกระทั่งรุ่งเช้ามีโทรเลขด่วนมาจากต่างจังหวัดข้อความสั้นๆว่า “กลับบ้านด่วน คุณตาเสียชีวิตแล้ว” สมัยนั้นยังใช้โทรเลข แม้จะมีโทรศัพท์แต่ก็มีเฉพาะเจ้าอาวาสหรือสำนักงานของวัดเท่านั้น หากไม่มีกิจธุระจำเป็นจริงๆก็จะไม่ได้ใช้ การส่งข่าวที่ด่วนที่สุดรวดเร็วที่สุดยังคงใช้โทรเลขซึ่งมักจะเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี
จึงต้องเดินหาสามเณรรูปนั้นอีกครั้งเพื่อสอบถามว่าตาแก่ที่มาถามหาเมื่อเย็นวันก่อนนั้นมีรูปร่างลักษณะท่าทางอย่างไร สามเณรรูปนั้นบอกว่า “อายุประมาณเจ็ดสิบปี ใส่กางเกงขาสั้นสวมเสื้อสีดำ เวลาเดินเหมือนคนขาเป๋” ลักษณะท่าทางอย่างนั้นได้แต่บอกตนเองในตอนนั้นว่า “ใช่เลยเหมือนคุณตาอ่อนไม่ผิดเพี้ยน” เพราะคุณตาขาพิการข้างหนึ่ง เนื่องจากถูกแมงมุมกัด ทำให้ขาข้างหนึ่งลีบ กลายเป็นคนขาเป๋ไปข้างหนึ่ง
หากคิดตามหลักเหตุผลแล้วเหตุการณ์อย่างนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ชายชราคนหนึ่งกำลังนอนป่วยรอความตาย แต่ทว่ากลับมาปรากฏร่างในอีกที่แห่งหนึ่งห่างไกลกันร่วมสามร้อยกิโลเมตร หรือว่าสามเณรรูปนั้นแกล้งหลอกเล่น แต่ลักษณะท่าทางที่สามเณรบอกนั้นเหมือนคุณตาของผู้เขียนไม่ผิดเพี้ยน ทั้งที่ๆสามเณรรูปนั้นก็ไม่เคยเห็นหน้าชายชราคนนั้นมาก่อนเลย แต่อธิบายลักษณะท่าทางได้ใกล้เคียง เอาเป็นว่าเรื่องนี้รับรู้กันเพียงสองคน จึงเก็บเรื่องไว้เป็นความลับมานานหลายปี เพราะหากเล่าออกไปคนเขาจะหาว่าบ้า เรื่องบางเรื่องปล่อยให้ลืมเลือนไปเสียบ้าง เพราะถึงจะคิดหาเหตุผลอย่างไรก็หาคำอธิบายไม่ได้ บางอย่างอธิบายตามหลักเหตุผลไม่ได้ แต่จะปฏิเสธว่าไม่มีอยู่จริงก็คงไม่ถูกต้องนัก ตอนนั้นกำลังเรียนวิชาตรรกศาสตร์วิชาที่ว่าด้วยเหตุผลอยู่พอดี
อย่างไรก็ตามยังมีเวลาเดินทางไปร่วมงานเผาศพคุณตาที่จังหวัดชัยภูมิ คุณยายนำห่อของห่อหนึ่งมาให้บอกว่า “ก่อนตายคุณตาบอกว่าฝากให้ท่านมหาด้วย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร” เมื่อเห็นห่อของสิ่งนั้นจึงให้คุณยายเปิดดู ข้างในห่อนั้นมีเงินจำนวนหนึ่ง เมื่อนับดูได้เงินจำนวนสามหมื่นบาทพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน ตอนนั้นผู้เขียนอุปสมบทได้เก้าพรรษาแล้ว ตามคำสัญญาที่คุณตาบอกไว้ต้องสิบพรรษา เงินส่วนนั้นจึงยังไม่มีสิทธิ์รับ จึงได้มอบให้จัดงานศพคุณตา
นับจากปีที่คุณตาเสียชีวิตเวลาก็ล่วงเลยมานานยี่สิบเอ็ดปีแล้ว ความทรงจำก็ลางเลือน คำสัญญาที่คุณตาพูดคนเดียว เออออคนเดียว แต่ก็ลงมือกระทำจริงๆ คุณตาถอนคำสัญญาได้ก่อนตาย ส่วนผู้เขียนก็ไม่ได้ผิดสัญญาแต่ประการใด ยังคงครองเพศในสมณวิสัยเรื่อยมา ปัจจุบันอายุพรรษาเกินจากที่คุณตาเคยท้าทายไว้ยี่สิบเอ็ดปีแล้ว และกำลังจะทำคำสัญญาของคุณตาให้เป็นจริง มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของคุณตาครั้งแรก และได้ร่วมเป็นเจ้าภาพงานทอดกฐินสามัคคีที่บ้านฟ้าห่วน จังหวัดยโสธร แม้ว่าคุณตาจะไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานทอดกฐินในครั้งนี้ก็ตาม
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
07/10/55