ฝนที่ตกติดต่อกันมาหลายวัน บางวันตกหนัก บางวันตกๆหยุดๆแต่ต่อเนื่องยาวนานกระจายเป็นอาณาบริเวณกว้าง กรุงเทพมหานครกำลังตกอยู่ใต้น้ำฝนที่หลั่งมาไม่ขาดสาย ประชาชนหลายกลุ่มหายใจไม่ทั่วท้องเพราะเกรงว่าปีนี้จะประสบกับปัญหามหาอุทกภัยอีกครั้ง ความสูญเสียเมื่อปีที่ผ่านมายังแก้ไขได้ไม่หมด เรื่องเดิมก็กำลังจะย้อนกลับมาอีกครั้ง ประสบการณ์บางอย่างไม่อยากมีเป็นครั้งที่สอง เพียงครั้งเดียวก็น่าจะเกินพอ เหมือนน้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมาไม่มีใครอยากให้ประสบการณ์นั้นย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง การนั่งรถแล้วต่อเรือ หรือนั่งเรือแล้วต่อรถไปทำงานนั้นปีเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ช่วงนี้ดูเหมือนว่าโลกจะวุ่นวายขึ้นมาพร้อมๆกัน จีนกับญี่ปุ่นกำลังมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับการมีกรรมสิทธิ์ในเกาะแห่งหนึ่ง กำลังทหารของทั้งสองประเทศกำลังประจันหน้ากัน อาจจะมีการสู้รบเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่นาน จีนกับญี่ปุ่นอยู่ใกล้ประเทศไทยหากรบกันขึ้นมาจะต้องมีผลกระทบมาถึงประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศแถบยุโรปหลายประเทศเช่นโปรตุเกส สเปนก็มีผู้คนออกมาเดินขบวนประท้วงนโยบายการรัดเข็มขัดของรัฐบาล เรื่องปัญหาเศรษฐกิจลุกลามไปยังอีกหลายประเทศ มีแนวโน้มจะขยายออกไปเรื่อยๆ
ที่ตะวันออกกลางตอนนี้กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่พาดพิงถึงเรื่องของศาสนา ยังไม่มีโอกาสได้ดูจึงไม่รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไร เนื้อหาที่ว่านั้นรุนแรงขนาดไหนจึงทำให้มีคนลุกขึ้นต่อต้านซึ่งได้เกิดขึ้นและลุกลามไปในหลายประเทศแล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
ย้อนกลับมาดูประเทศไทยกำลังกลัวปัญหาอุทกภัย เพราะมีน้ำท่วมหลายจังหวัดแล้ว ยิ่งในช่วงหลายวันมานี้ฝนก็ตกทุกวัน แม่น้ำเจ้าพระยาก็น้ำหลาก แม้รัฐบาลจะออกมายืนยันแทบทุกวันว่า “สถานการณ์น้ำปีนี้รัฐบาลเอาอยู่ สามารถรับสถานการณ์น้ำท่วมได้ ประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง” คำพูดทำนองเดียวกันนี้แหละที่รัฐบาลเคยประกาศว่า “รัฐบาลเอาอยู่” แต่ในที่สุดน้ำก็ท่วม บางแห่งนานหลายเดือน กว่าจะผ่านพ้นไปได้ก็ต้องสูญเสียจนไม่อาจจะประเมินค่าได้
ในเรื่องของศาสนาอันเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนเพราะมีความผูกพันยึดมั่นอยู่กับศรัทธาความเชื่อ ไม่ควรจะไปยุ่ง เพราะหากยุ่งจะทำให้เกิดความยากลำบาก แต่สำหรับพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้แสดงว่าพระพุทธองค์ไม่ขัดแย้งกับโลก ดังที่แสดงไว้ในบุปผสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค (17/239-240/148) ว่าด้วยพระพุทธองค์ไม่ขัดแย้งกับโลก ความว่า “สมัยหนึ่งที่พระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่ขัดแย้งกับโลก แต่โลกย่อมขัดแย้งกับเรา ผู้กล่าวเป็นธรรมย่อมไม่ขัดแย้งกับใครๆ ในโลก สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี สิ่งใดที่บัณฑิตในโลก สมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี ซึ่งเราก็กล่าวว่าไม่มีนั้นคืออะไร คือรูปที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี แม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่า ไม่มี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา โลกสมมติว่า ไม่มี แม้เราก็กล่าววิญญาณนั้นว่า ไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้แหละที่เป็นบัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี ซึ่งเราก็กล่าวว่า ไม่มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า มี ซึ่งเราก็กล่าวว่ามีนั้น คืออะไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า มี แม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่า มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตในโลกสมมุติว่า มี แม้เราก็กล่าววิญญาณนั้นว่ามี ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แหละที่บัณฑิตในโลกสมมุติว่า มี ซึ่งเราก็กล่าวว่ามี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรมมีอยู่ในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัด โลกธรรมนั้น ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นก็โลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรม ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดงบัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นนั้น คืออะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือรูปเป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ฯลฯ กระทำให้ตื้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนกกระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้งเปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้งเปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น
พระพุทธองค์ไม่ขัดแย้งกับโลก แม้เรื่องบางอย่างก็ให้ถือตามผู้มีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง ไม่ฝืนพระราชอำนาจดังเช่นครั้งหนึ่งทรงอนุญาตให้เลื่อนกาลฝนออกไปดังที่แสดงไว้ในวัสสูปนายิกาขันธกะ มหาวรรค (4/209/265) ความว่า “สมัยหนึ่งพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชมีพระราชประสงค์จะทรงเลื่อนกาลฝนออกไป จึงทรงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่าถ้ากระไรขอพระคุณเจ้าทั้งหลายพึงจำพรรษาในชุณหปักษ์อันจะมาถึง ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระองค์จึงรับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คล้อยตามพระเจ้าแผ่นดิน” แสดงว่าพระพุทธศาสนามิได้ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง หากอยู่ในประเทศใดก็ให้อนุวัตรตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ พระสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้พระธรรมวินัย กฎหมายบ้านเมือง
พระพุทธองค์ทรงแสดงในเชิงเปรียบเทียบบุคคลที่อยู่ในโลก แต่ไม่ติดในโลกเหมือนดอกบัวที่เกิดจากน้ำแต่ไม่ติดในน้ำดังที่แสดงไว้ในบุปผสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค (17/241/149) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบลก็ดี ปทุมก็ดี บุณฑริกก็ดี เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ ขึ้นพ้นจากน้ำตั้งอยู่ แต่น้ำไม่ติด แม้ฉันใด พระตถาคตเกิดแล้วในโลก เจริญแล้วในโลก ย่อมครอบงำโลกอยู่ แต่โลกฉาบทาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกันแล
บางครั้งชาวโลกมีความขัดแย้งกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพียงเพราะความเห็นไม่ตรงกัน การที่คนทุกคนจะมีความเห็นเหมือนกันนั้นยากยิ่งอยู่แล้ว หรือขัดแย้งกันเพราะการแย่งกรรมสิทธิ์ในสมบัติของโลกซึ่งไม่ใช่ของเราจริงๆ มนุษย์เป็นผู้อาศัยโลกนี้อยู่เพียงชั่วคราวไม่นานก็ต้องจากไป แต่ผืนแผ่นดินที่เรียกว่าโลกนี้ยังอยู่อีกนาน สมบัติที่เคยเป็นของเราก็ต้องกลายเป็นสมบัติของคนอื่นต่อไป ทำไมจะต้องแก้ปัญหาด้วยการทำสงครามเพื่อเอาชนะกันด้วยกำลังจนก่อให้เกิดความเสียหายมีคนล้มตาย ชีวิตมนุษย์นี้สั้นอยู่แล้ว จะเบียดเบียนเข่นฆ่าทำลายล้างกันไปทำไม ประเดี๋ยวก็ต้องตายด้วยกันทุกคนอยู่แล้ว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
16/09/55