โลกมันคงกลมอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เขาว่าไว้จริงๆ เพราะคนที่ไม่ได้พบกันมานานกว่าสามสิบปีพลันย้อนกลับมาพบกันอีกครั้ง ในดินแดนนครหลวงที่น้อยคนจะได้รู้จักมักคุ้นกัน สังคมที่ต่างฝ่ายต่างอยู่ ทำมาหากินกันไปตามหน้าที่ โอกาสที่จะได้พบกันนั้นมีน้อยกว่าน้อย ยิ่งคนเคยอยู่ในชนบทห่างไกลความเจริญ วันหนึ่งต้องแยกย้ายกันไปทำงานตามอาชีพของตนเอง บางคนทำมาค้าขาย บางคนรับจ้าง มีบ้างบางคนที่อุปสมบทจนลืมลาสิกขาอย่างหลวงตาไซเบอร์ฯ การที่จะได้พบเพื่อนเก่าคนบ้านเดียวกันเคยเที่ยวหัวหกก้นขวิดมาด้วยกันนั้นมีโอกาสน้อยมาก แต่วันนั้นกลับได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง แต่เป็นการพบกับโดยบังเอิญคือได้พบกันในงานศพ
งานศพสวดอภิธรรมมาสองวันแล้วพอถึงวันที่สามมีการถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุ และนิมนต์พระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา เขานิมนต์หลวงตาไซเบอร์ฯเป็นองค์แสดงธรรม ซึ่งปรกติจะไม่รับงานสวดอภิธรรมเพราะติดขัดด้วยเงื่อนไขของเวลา หากเป็นงานศพก็จะรับเฉพาะงานฉันภัตตาหารเพลและแสดงธรรม วันนั้นไม่ได้รับนิมนต์ไปฉันเพลแต่รับเป็นองค์แสดงธรรม บ่ายสองโมงพอดีจึงเดินไปที่ศาลาตั้งศพ นั่งบนอาสนะเรียบร้อยกำลังสอบถามประวัติของคนเสียชีวิตว่าเป็นใครมาจากไหน อายุเท่าไหร่ เสียชีวิตด้วยสาเหตุใด จะได้มีข้อมูลประกอบในการแสดงธรรม
พอเห็นนามสกุลของคนที่เสียชีวิตก็ต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง นั่นมันคลับคล้ายกับนามสกุลของเพื่อนเก่าสมัยที่ยังเป็นหนุ่มน้อยที่บ้านสร้าง เจ้าภาพซึ่งเป็นชายเลยวัยกลางคนแล้วเข้ามาหาและบอกว่า”จำผมได้ไหมครับ ผมชื่อทองสา(นามสมมุติ)คนบ้านสร้าง คนที่เสียชีวิตคือภรรยาผมเอง” ตอนนั้นจึงนึกออกว่าทองสาคือเพื่อนเก่าสมัยที่ยังเป็นหนุ่ม เรียนหนังสือมาด้วยกัน แต่เส้นทางของเราทั้งสองเดินกันคนละเส้นทาง ทองสายึดอาชีพเป็นพ่อค้าขายไก่ทอด ข้าวเหนียวส้มตำในกรุงเทพมหานคร แต่หลวงตาไซเบอร์ฯอุปสมบทเป็นพระภิกษุร่อนเร่พเนจรไปในที่ต่างๆหลายปี ตอนหลังจึงมาอยู่จำพรรษาในกรุงเทพมหานคร แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พบกับเพื่อนเก่าคนนั้นเลย เหมือนอยู่กันคนละโลก
เมื่อกว่าสามสิบปีที่แล้ว ระยะทางจากบ้านสร้างและบ้านม่วงมีแม่น้ำคั่นอยู่ระหว่างพอดี ตามปรกติจะมีสะพานให้ข้ามไปมาได้สะดวก แต่ในยามน้ำหลาก สะพานมักจะถูกเศษไม้หรือต้นไม้ที่ไหลมากับกระแสน้ำจนทำให้สะพานพังอยู่เป็นประจำ การเดินทางระหว่างสองหมู่บ้านจึงต้องใช้แพข้ามฟากโดยทำจากไม้ไผ่นำไม้ไผ่มามัดติดกันจนเป็นแพทำให้สามารถรับน้ำหนักมากได้ การสัญจรจึงต้องพึ่งแพข้ามฟากเป็นหลัก แพนั้นเป็นสมบัติส่วนรวมใช้เชือกดึงระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ หากมีคนข้ามไปก็จะปล่อยให้แพติดอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง ใครที่จะข้ามไปอีกฝั่งต้องดึงเชือกให้ตึงแพก็จะค่อยมายังอีกฝั่งหนึ่ง ชาวบ้านสองฟากฝั่งแม้จะไปมาไม่ค่อยสะดวกแต่ก็ได้อาศัยแพข้ามฟากในการไปมาหาสู่กัน
ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศกำลังเย็น แต่มักจะมีงานประจำหมู่บ้านอยู่เสมอ หากมีมหรสพสมโภชผู้คนทั้งสองหมู่บ้านก็มักจะพากันเดินทางไปเที่ยงงานอยู่เป็นประจำ หากชายหนุ่มคนใดหมายปองสาวอีกหมู่บ้านหนึ่งก็จะมักจะไปเที่ยวงาน อย่าน้อยก็ได้พบสาวคนรัก ได้พูดจาสนทนากันก็ทำให้หายคิดถึง โบราณว่าคนรักกันแม้จะไม่ได้เห็นหน้าเพียงแค่ได้เดินผ่านหน้าบ้านก็พอใจแล้ว ไม่ได้เห็นหน้าเห็นแต่ผ้าที่ตากไว้บนราวตากผ้าก็ยังดี นั่นเป็นเรื่องความรักของหนุ่มสาวชนบทในอดีต
วันนั้นมีงานทำบุญอุทิศหาคนที่เสียชีวิต เนื่องจากคนเสียชีวิตเป็นคนมีฐานะดีของหมู่บ้านจึงจัดงานใหญ่เชิญแขกทั่วตำบล ในงานมีมหรสพสมโภชใหญ่โต เช่นหมอลำเรื่องต่อกลอน ลิเก ลำตัด ชกมวย รำวง แม้แต่หนังตะลุงก็ยังมี ชายหนุ่มต่างหมู่บ้านจึงมารวมตัวกันที่บ้านม่วงเพื่อรำวงกับสาวนางรำ บางทีอาจโชคดีได้นางรำเป็นสาวคนรักก็ได้
คืนนั้นกว่าจะออกจากงานได้เวลาก็ล่วงเลยไปตั้งตีสามเข้าไปแล้ว พวกเรามาด้วยกันห้าคนเดินกลับบ้านสร้าง พอมาถึงแม่น้ำเกิดมีคนผู้ไม่หวังดีผูกแพข้ามฟากไว้อีกฝั่งหนึ่งแม้จะออกแรงดึงอย่างไรก็ไม่อาจจะขยับเขยื้อนได้เลย มีทางเดียวต้องหาอาสาสมัครว่ายน้ำข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งปลดเชือกผูกแพจึงจะข้ามฝั่งได้ เราทั้งห้าต่างก้มองหน้ากัน อากาศหนาวเย็นมาก หากร่างกายไม่แข็งแรงจริงมีหวังจมน้ำตายก่อนที่จะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ ไม่มีใครอาสาจะว่ายน้ำข้ามไปยังอีกฝั่ง แม่น้ำกว้างราวสิบเมตร
ท่ามกลางความเงียบสงัดพลันได้ยินเสียง “ตูม” น้ำแตกกระจายมีชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่พวกเราอาสาว่ายน้ำข้ามไปนำแพข้ามฟากมายังอีกฝั่ง เขาคนนั้นคือทองสาคนนั้นนั่นเอง เขาอาสาว่ายน้ำที่เชี่ยวกรากเพื่อจะได้ข้ามไปนำแพข้ามฟากจากอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ สิ่งที่อยู่ไกลแม้จะมีก็เหมือนไม่มีเพราะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ดังที่แสดงไว้ในกุณาลชาดก ขุททกนิกาย (28/302/100) ความว่า “สิ่งของหกอย่างนี้ เมื่อกิจธุระเกิดขึ้น ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้คือธนูไม่มีสาย ภรรยาอยู่ในตระกูลญาติ เรือที่ฝั่งโน้น ยานพาหนะที่เพลาหัก มิตรอยู่ไกล สหายลามก สิ่งของทั้งหกนี้เมื่อกิจธุระเกิดขึ้น ใช้ประโยชน์ไม่ได้”
ที่เห็นได้ชัดเจนในวันนั้นคือเรือที่อยู่ฝั่งโน้น วันนั้นหากไม่มีทองสาเป็นอาสาสมัครก็ต้องรอให้มีคนเดินทางมาจากอีกฟากหนึ่ง ใครกันนะที่คิดอุตริผูกเรือแพไว้ที่อีกฝั่ง จะข้ามแม่น้ำแต่ไม่มีเรือ มีรถแต่เพลาหัก มีมิตรสหายแต่อยู่ไกลกัน หรือหากมีมิตรสหายที่เลวทราม เวลาจะใช้งานก็ไร้ประโยชน์ วีรกรรมของทองสาหนุ่มบ้านนายังมีอีกมาก แต่ในงานศพวันนั้นพลันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
เหตุการณ์ผ่านมาตั้งสามสิบปีแล้ว มีชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานครด้วยกันแท้ๆ แต่กลับไม่ได้พบพานกันเลย แต่เพราะโลกคงกลมอย่างว่าจึงต้องมาพบกันอีกครั้งในสถานะต่างกัน คนหนึ่งกำลังสูญเสียคนที่รัก ส่วนอีกคนเป็นผู้ปลอบประโลมใจให้หายโศก เพื่อนเก่าพบกันในงานศพ คนจรจากบ้านเกิดแสวงหาทางก้าวหน้าในพาราแห่งความเจริญ ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้พานพบกันนานหลายปีแล้ว ทางโคจรของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่มิตรภาพของความเป็นเพื่อนยังติดตรึงอยู่ในใจไม่อาจลืมเลือนได้
วันนั้นเทศน์ไม่ออกจริงๆ ได้แต่นั่งคุยกับเพื่อนเก่าที่พึ่งสูญเสียภรรยาสุดที่รักไป จึงเป็นงานศพที่ได้พบเพื่อนเก่าเล่าความหลัง ซึ่งก็อยู่ในวันใกล้ฝั่งด้วยกันทั้งคู่ไม่รู้ว่าจะจากโลกนี้ไปในวันใดเหมือนกัน เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมมีความตายเป็นที่สุดดังที่มีพุทธภาษิตแสดงไว้ในทัณฑวรรค คาถาธรรมบท(25/20/27) ความว่า “นายโคบาลย่อมต้อนฝูงโคไปสู่ที่หากินด้วยท่อนไม้ฉันใด ความแก่และความตายย่อมต้อนอายุของสัตว์ทั้งหลายไปฉันนั้น”
ทองสาบอกว่า “ภรรยาผมที่เสียชีวิตก็คือสาวรำวงนางหนึ่งในงานบ้านม่วงนั่นแหละครับ เราทั้งสองแต่งงานกันและอพยพครอบครัวมาทำมาหากินที่กรุงเทพฯ มีลูกด้วยกันสองคน กำลังเรียนหนังสืออยู่เลยครับ ภรรยาผมคนนี้ ผมว่าหลวงตาคงพอนึกออก เป็นสาวรำวงคนเดียวกันกับที่หนุ่มๆทั้งหลายต่างก็อยากได้เป็นคู่เต้นรำนั่นแหละครับ” หนุ่มที่ว่านั้นรวมทั้งตัวคนเขียนด้วยซิ สมัยเป็นหนุ่มก็นักเต้นเท้าไฟเหมือนกัน ตอนนั้นเธอเป็นเหมือนดอกกุหลาบแดงในหมู่มวลบุบผา ความทรงจำในวัยหนุ่มเหมือนจะตามติดทำให้ย้อนคิดอีกครั้ง บางอย่างอยากจำแต่กลับลืม เรื่องบางเรื่องอยากลืมแต่กลับจำ
หลวงตาไซเบอร์ฯ เพ่งมองภาพถ่ายคนที่เสียชีวิตนั้นหลายรอบแต่ก็มองเห็นเค้าแห่งอดีตสาวรำวงคนนั้นไม่พบ เธอคงแก่ชราไปตามวัย และความสวยงามก็เลือนหายไปกับแสงสีแห่งนครหลวง คนงามบ้านนาเมื่อมาอยู่ที่กรุงเทพก็กลายเป็นดอกฟ้าในป่าปูนไป เออหนอมนุษย์ไยเล่าต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจด้วยกันทุกคน ขอให้ไปสู่สุคติก็แล้วกันอดีตนางรำคนนั้น วันนี้เธอไปดีแล้วเหลือไว้แต่ความทรงจำในหัวใจของชายวัยกลางคนสองคนที่บังเอิญมาพบกันในงานศพ
ตัวเราเองก็อาศัยอัตภาพร่างกายนี้เป็นเหมือนฝูงโคที่คนเลี้ยงโคกำลังต้อนไปสู่ที่หากิน ความแก่และความตายก็กำลังกัดกินอายุของสรรพสัตว์เหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งชีวิตเป็นเหมือนเรือข้ามฟากที่จะนำพาไปสู่โลกใหม่ เรือที่เก่าคร่ำคร่าทรุดโทรมลงทุกวัน ต้องคอยอุดรอยรั่วไม่ให้น้ำแห่งกิเลสตัณหาเข้าครอบงำได้ นั่งเรือข้ามฟากหากไม่คอยวิดน้ำออกจากเรืออาจจะล่มก่อนถึงฝั่ง ทองสาเพื่อนเก่าลากลับไปแล้ว หลวงตาไซเบอร์ก็กลับกุฏิแยกกันเดินคนละเส้นทาง แต่คงมีสักวันที่จะได้พบกันอีก ขอให้พบในเวลาปรกติ อย่าได้พบกันในงานศพอีกเลย แม้จะเป็นเรื่องธรรมดา แต่เป็นความธรรมดาที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับคนที่เรารู้จัก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
05/09/55