หน้าฝนปีนี้ฝนตกแทบทุกวัน อากาศเย็นสบาย แต่การเดินทางลำบากจะไปไหนมาไหนก็ต้องวางแผนให้ดี หากเจอกับฝนตกเวลาที่คาดไว้อาจจะต้องเลื่อนไปอีกหลายชั่วโมง วันนั้นมีธุระที่วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ตั้งใจจะไปซื้อหนังสือ เลือกหนังสือได้แล้วกำลังจะเดินทางกลับ ฝนเจ้ากรรมก็เทลงมาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ร้านหนังสือกำลังจะปิด ต้องออกมารอรถหน้าร้าน รถราก็หายากใครๆก็อยากจะกลับบ้านกันทั้งนั้น ทำได้อย่างเดียวคือต้องรอ รอว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุดตก จะได้หารถเดินทางกลับวัดได้ ฝนตกในเมืองหลวงคนไม่ค่อยชอบ แต่หากฝนไปตกที่ชนบทชาวไร่ชาวนาจะยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง เพราะน้ำฝนนั้นคือลมหายใจของชาวนา พอสัมผัสกับไอฝนไม่นานก็เกิดอาจาม ท่าทางจะเป็นไข้หวัด ร่างกายไม่น่าอ่อนแอปานนั้น
ฝนตกอย่างนี้เด็กๆในชนบทชอบนักจะพากันออกมาวิ่งเล่นน้ำฝนอาบน้ำอย่างสนุกสนาน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเจ็บป่วยเป็นไข้หวัดอะไร ภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่พอแก่ตัวเข้าถูกไอฝนนิดหน่อยก็เริ่มมีอาการหวัด ภูมิคุ้มกันที่เคยมีสมัยเด็กไม่รู้หายไปไหนหมด หรือว่าเรามาอยู่ผิดที่ผิดทาง คนบ้านนอกแต่มาอยู่กลางเมืองหลวง ที่ผู้คนต้องดิ้นรนแข่งขันทำงานแข่งกับเวลา เร็วจึงทันกาล นานไม่ทันกินอย่างนี้
สมัยเป็นเด็กผลไม้แทบทุกชนิดไว้ในสวน ผลไม้หลักคือกล้วยมีทุกประเภทเช่นกล้วยน้ำหว้า กล้วยหอม กล้วยตานี กล้วยเหล่านี้จะออกลูกต่างเวลากัน ก่อนจะออกผลยังมีปลีกล้วยซึ่งใช้ทำอาหารได้หลายอย่าง ต้มยำ ทำแกงประกอบอาหารได้ทุกประเภท ในกอกล้วยยังมีผลไม้ปลูกแซมอยู่ด้วยเช่นน้อยหน่า ละมุด มังคุด ลำไย เมื่อกล้วยหมดกอก็จะได้น้อยหน่าออกผลพอดี ตามริมรั้วยังมีผักอื่นๆอีกหลายอย่างเช่นตำลึง กะเฉด บวบ และอื่นๆมาก ผักทุกอย่างสามารถจิ้มน้ำพริกกินได้ทันที หากวันใดได้ยินแม่กำลังโขกน้ำพริกก็จะเดินไปตามริมรั้วเก็บผักไว้รอ เมื่ออาหารเสร็จก็จะได้ใช้ผักจิ้มน้ำพริกอร่อยนัก คนชนบทอยู่ง่ายกินง่าย ออกกำลังกายทุกวัน เพราะงานที่ทำส่วนมากจะอยู่กลางทุ่ง ถึงหน้านาก็ทำนา พอหมดหน้าทำนาก็จะทำสวนทำไร่ จึงนิยมเรียกอาชีพนี้ว่าชาวไร่ชาวนา
อาหารของชาวบ้านมีข้าวเป็นหลัก ข้าวเหนียว ข้าวจ้าวมีสรรพคุณหลายอย่าง อาหารหลักของคนไทยคือข้าว แม้จะรับประทานอย่างอื่นหากไม่มีข้าวรู้สึกว่าไม่ค่อยอิ่มท้อง แต่ละชาติแต่ละเผ่าพันธุ์ย่อมมีอาหารหลักของตนเอง คนไทยได้ชื่อว่า “กินข้าวเป็นหลัก”
ผักมีหลายประเภทแต่วันนี้คิดถึงตำลึงและพริกที่พึ่งรับประทานมาไม่กี่วันก่อน ยอดตำลึงกับน้ำพริกรสชาติเผ็ดร้อนดีแท้ ได้ข้าวเหนียวร้อนๆจิ้มน้ำพริกยิ่งเพิ่มความอิ่ม จนไม่อยากทำอะไร วันก่อนนั่นไงโยมคนหนึ่งทำน้าพริกและมีผักหลายชนิดเช่นผักบุ้ง ใบตำลึง มะเขือ และอีกหลายอย่าง โยมคนนั้นบอกว่า “คนโบราณเขากินผักเป็นยา”
เริ่มต้นที “ตำลึง” ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า ตำลึงมีสรรพคุณเป็นยาได้ทุกส่วนคือ ใบใช้ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ตัวร้อน ดับพิษฝี แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้คัน ดอกแก้คัน เมล็ดตำผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้หิด เถาตำลึงใช้น้ำจากเถาหยดตา แก้ตาฟาง ตาแดง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ดับพิษ แก้อักเสบ ชงกับน้ำดื่มแก้วิงเวียนศีรษะ ราก ดับพิษทั้งปวง แก้ตาฝ้า ลดไข้ แก้อาเจียน น้ำยาง ต้น ใบ ราก แก้โรคเบาหวาน หัว ดับพิษทั้งปวง
สรรพคุณของตำลึง ยังใช้รักษาโรคเบาหวานได้อีกด้วยโดยใช้เถาแก่ ๆ ประมาณหนึ่งกำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น จะสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ควรรับประทานสด ๆ เพราะเอนไซม์ในตำลึงจะย่อยสลายง่ายเมื่อโดนความร้อน ลดอาการคัน อาการอักเสบเนื่องจากแมลงกัดต่อยและพืชมีพิษโดยนำใบตำลึงสด 2-20 ใบ ตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ คั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะหาย (ใช้ได้ดี สำหรับหมดคันไฟ หรือใบตำแย) หากเป็นแผลอักเสบ ให้ใช้ใบหรือรากสด ตำพอกบริเวณที่เป็นแผล
หากจะใช้แก้งูสวัด เริม ให้ใช้ใบสด 2 กำมือ ล้างให้สะอาด ผสมพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน พอกหรือทาบริเวณที่เกิดอาการ
ตำลึงยังใช้แก้ตาช้ำตาแดงได้ ให้ตัดเถาเป็นท่อนยาวประมาณ 2 นิ้วนำมาคลึงพอช้ำ แล้วเป่า จะเกิดฟองใช้หยอดตา
หากอยากให้ใบหน้าเต่งตึงให้นำยอดตำลึง 1/2 ถ้วย น้ำผึ้งแท้ 1/2 ถ้วย นำมาผสม ปั่นให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันได้จะดีมาก
ใบตำลึงยังใช้ในการแก้ไข้ ตัวร้อน ตาแดง ตาเจ็บ เถานำน้ำต้มจากเถาตำลึงมาหยอดตาแก้ตาแดง ตาฟาง
ดอกตำลึงช่วยทำให้หายจากอาการคันได้ รากใช้แก้อาการอาเจียน ตาฝ้า น้ำยางจากต้นและใบช่วยลดน้ำตาลในเลือด ตำลึงอย่างเดียวก็มีสรรพคุณมากมาย ได้น้ำพริกจิ้มด้วยใบตำลึงอร่่อยนัก
พอพูดถึงพริกซึ่งใช้ประกอบอาหารได้แทบทุกอย่าง พริกทุกชนิดจะมีสารที่เรียกว่า “แคปไซซิน” มีสรรพคุณช่วยระบบทางเดินหายใจ ความดันโลหิตและหัวใจ ช่วยขับเหงื่อมีสารต้านอนุมูล อิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ ถ้ารับประทานพริกมากๆหรือรับประทานเผ็ดเป็นประจำ ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารจะทำงานได้ไม่ดี แต่ถ้ารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ จะทำให้เลือดไม่จับตัวเป็นก้อน เลือดไหลเวียนได้ดี
พริกไทยเป็นเครื่องเทศที่ได้ชื่อว่า เป็นราชาแห่งเครื่องเทศ พริกไทยนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งผลอ่อนและผลสุก พริกไทยอ่อนมีน้ำมันหอมระเหย นิยมปรุงในผัดเผ็ด เพื่อดับกลิ่นคาว ช่วยย่อยอาหาร แก้ปวดหัว ปวดตามข้อและแก้ท้องเสียได้ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงและเบตาแคโรทีน ผลสุกนำมาทำเป็นเมล็ดพริกไทยทั้งสองชนิดคือ พริกไทยดำ และพริกไทยขาว แตกต่างกันตรงวิธีการผลิต พริกไทยดำ จะมีรสเผ็ดและกลิ่นหอมกว่าพริกไทยขาว พริกไทยช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ขับเสมหะ ไอ สะอึกได้ ช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำลาย และน้ำย่อย ขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ อาหารจึงย่อยง่าย จากการวิจัยพบว่าสารฟีนอลิกส์ในพริกไทยมีคุณสมบัติสามารถต้านมะเร็งได้
ผลไม้แทบทุกประเภทเป็นยา เช่นกล้วยน้ำหว้ามีสรรพคุณในการเป็นยาสมุนไพร ใช้ได้ทุกส่วนเช่นผลกล้วยสุก มีเบต้าแคโรทีน ไนอาซีน ใยอาหาร และเพคติน จึงมีสรรพคุณในการหล่อลื่น ช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องขึ้น ช่วยระบายท้อง และใช้เป็นยาระบายได้เป็นอย่างดี ผลกล้วยดิบ มีสารแทนนิน และเพคติน ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมาน สามารถรักษาอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้ ในผลกล้วยน้ำว้าสุกและห่าม รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันในเด็กเล็กได้ ช่วยลดอาการเจ็บคอ เจ็บหน้าอกที่มีอาการไอแห้งร่วมด้วย และหากรับประทานกล้วยก่อนแปรงฟันทุกวันจะทำให้ไม่มีกลิ่นปาก และผิวพรรณดี ช่วยบำรุงกระดูก ฟัน และเหงือกให้แข็งแรง และยังช่วยให้ผิวพรรณดีอีกด้วย
ส่วนรากขอกล้วยน้ำหว้ามีสรรพคุณในการขับน้ำเหลืองเสีย แก้ท้องเสีย น้ำคั้นจากต้น มีสรรพคุณใช้ทากันผมร่วง และทำให้ผมขึ้น น้ำจากก้านใบ มีสรรพคุณใช้เป็นยาผาดสมาน รักษาโรคท้องเสีย แก้บิด
ช่อดอก มีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวาน แป้ง แป้งที่ทำจากกล้วยดิบมีสรรพคุณใช้รักษาอาการแก่ผู้ที่อาหารไม่ย่อย ท้องขึ้น มีกรดมาก หยวกกล้วย มีสรรพคุณใช้เป็นอาหารที่ใช้ล้างในระบบทางเดินอาหาร
เรื่องของกล้วยไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ เพราะทุกส่วนของต้นกล้วยล้วนใช้เป็นยาสมุนไพรได้ เรื่องเกี่ยวกับกล้วยมีเรื่องที่น่าศึกษาอีกมาก เพราะยังมีกล้วยอีกหลายชนิดที่มีสรรพคุณใช้เป็นยา
มะละกอ ผลสุกเป็นยากันหรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย ยางจากผลดิบของมะละกอ ใช้เป็นยาช่วยย่อย ยาฆ่าพยาธิ ส่วนรากเป็นยาขับปัสสาวะ เป็นต้น
สมัยเป็นเด็กไม่เคยรู้มาก่อนว่าผักทุกชนิดที่รับประทานไปนั้นเป็นยา แต่ที่รับประทานมีวัตถุอย่างเดียวคือหิว ไม่ค่อยมีอะไรจะกิน หากวันหิวขึ้นมาก็จะเดินเข้าสวนของพ่อหาผลไม้สุกรับประทาน หากท้องผูกก็หาผลมะละกอสุกหรือไม่ก็กล้วยน้ำหว้าสักสองสามลูก หากท้องเสียก็ใช้ผลฝรั่ง หากเป็นแผลก็เพียงใช้ใบสาบเสือปิดที่แผลไม่นานเลือดก็หยุด อาหารหลักของคนไทยคือข้าว แต่การรักษาสุขภาพร่างกายไม่ให้มีโรคภัยไข้เจ็บนั้น ความจริงส่วนหนึ่งอยู่ที่อาหารที่รับประทานในแต่ละวัน ผักและผลไม้ต่างๆนั้นล้วนมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร คนโบราณอายุยืนกว่าคนในสมัยปัจจุบัน แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมีการแพทย์ที่เจริญมากกว่า แต่ก็มีคนป่วยมากตามไปด้วย
คนไทยในอดีตกินข้าวเป็นหลัก กินผักเป็นยา ที่กำลังคิดอยู่ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นกลางสายฝนที่กระหน่ำมาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น รถโดยสารก็หายาก กว่าจะกลับถึงวัดได้เวลาก็ปาเข้าไปสามทุ่ม อาบน้ำอาบท่า ชงมะตูมอ่อนๆดื่มก่อนนอน มะตูมมีสรรพคุณเป็นยาระบายท้อง พืชผักผลไม้ที่เรารับประทานอยู่ทุกวันล้วนเป็นยา แต่ทว่าพอความเจริญรุกคืบเข้ามา ยาสมุนไพรที่คนโบราณเคยกินเป็นทั้งอาหารและยา ก็กำลังจะถูกลืมเพราะมัวแต่ไปปลื้มกับยาจากตะวันตก หาซื้อได้ง่ายกว่า ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยกำลังจะเลือนหายไปกับกาลเวลา
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
20/08/55