ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

         วันวิสาขบูชาปีนี้ตรงกับวันที่ 4 มิถุนายน พุทธศักราช 2555 เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และเป็นวันครบรอบ  2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทั้งหน่วยงานราชการ สถาบัน องค์กรทางศาสนาจึงได้ร่วมมือกันจัดงานเนื่องในวันวิสาขบูชา และเรียกงานในครั้งนี้ว่า “พุทธชยันตี” วันครบรอบวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า แต่เน้นเป็นกรณีพิเศษเพราะครบรอบ 2600 ปีแห่งการตรัสรู้


         คำว่า “พุทธชยันตี” มาจากศัพท์ พุทธ+ชยันตี (คำว่า “ชยันตี” เป็นคำในภาษาสันสกฤตแปลว่า “วันครบรอบ” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า  “Anniversary” ส่วนคำว่า “พุทธ” เป็นภาษาบาลี คำนามเพศชายแปลว่า พระพุทธเจ้า ผู้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากเป็นคำคุณนาม “พุทธ”ก็จะแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอย่างเต็มที่ เมื่อนำมารวมกันเป็น “พุทธชยันตี” จึงแปลว่า การครบรอบวันประสูติ วันตรัสรู้และวันปรินิพพานของของพระพุทธเจ้า
         ชาวพุทธเชื่อกันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือนวิสาข(เดือนหก)ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม หรือปัจจุบันคือพุทธคยา ประเทศอินเดีย ก่อนพุทธศักราช 45 ปี พระพุทธเจ้าเผยแผ่ประกาศพระพุทธศาสนาเป็นเวลา 45 ปีก่อนจะปรินิพพาน ปีพุทธศักราชเริ่มนับเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้หนึ่งปี เมื่อนำมารวมกันจึงกลายเป็น 45+ 2555 จึงเป็นปีแห่งพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า   หรือวันครบรอบชัยชนะของพระพุทธเจ้า หรือจะเรียกว่า “ศรีสัมพุทธชันตี สัมพุทธชยันตี”  ก็ได้

 

         ในวันประสูติเจ้าชายสิทธัตถะได้เปล่ง “อาสภิวาจา” ซึ่งมาจากคำว่า “อาสภี” เป็นคำคุณนามแปลว่าเข้มแข็ง ประเสริฐ กล้าหาญ เหมือนวัวตัวผู้ ส่วนคำว่า “อาสภ” เป็นคำคุณนามและเป็นคำนามแปลว่าเหมือนวัวตัวผู้ วีรบุรุษ ผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้น “อาสภิวาจา” จึงแปลว่า วาจาอาจหาญ วาจาของผู้ยิ่งใหญ่ ดังที่มีปรากฏในมหาปทานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค(10/26/11) ความว่า “ธรรมดามีอยู่ดังนี้พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้วได้ครู่หนึ่ง ประทับยืนด้วยพระบาททั้งสองอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตร์ทางด้านทิศอุดร เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าวและเมื่อฝูงเทพดากั้นเศวตฉัตรตามเสด็จอยู่ทรงเหลียวแลดูทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่าอันองอาจว่า “เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้มี”  หากจะเขียนเป็นภาษาบาลีก็จะเป็น “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ  โลกสฺส   เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา เม   ชาตินตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ”
         อาสภิวาจาจึงเป็นการประกาศเป้าหมายในการเกิดของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งเกิดมาเพื่อเป็นยอด เป็นใหญ่ เป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก และจะเกิดเป็นครั้งสุดท้าย  คนส่วนมากเกิดมาร้องให้ แต่เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาก็เปล่งวาจาได้ อาจจะมีผู้โต้แย้งว่า “คนเกิดมาพูดได้เลยนั้นมีอยู่หรือ เท่าที่ศึกษาจากประวัติศาสตร์ก็น่าจะมีอยู่เพียงเจ้าชายสิทธัตถะผู้เดียวนี่แหละ คนอื่นๆยังค้นหาไม่พบ หรือหากจะมีก็ยังไม่เคยได้ยิน
          แต่ว่าในพระพุทธศาสนาก็ได้แสดงเรื่องที่ไม่ควรคิดไว้ว่าหากใครคิดเรื่องสี่ประการ มักจะหาคำตอบได้ยาก บางครั้งคิดมากอาจจะมีส่วนแห่งการเป็นบ้าก็ได้ เรื่องที่ไม่ควรคิดเรียกว่า “อจินไตย” แสดงไว้ในในอจินติตสูตร อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต(21/77/79) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตยสี่ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้าเดือดร้อน คือ พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน วิบากแห่งกรรม ความคิดเรื่องโลก”    

 

         เรื่องของการเกิดมาเดินได้และพูดได้จึงอยู่ในพุทธวิสัย เป็นวิสัยของผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงจะคิดค้นตามหลักเหตุผลอย่างไรก็คงหาคำตอบไม่ได้ คิดมากๆเข้าอาจจะถึงขั้นเป็นบ้าได้ ส่วนผู้ที่ได้ฌานอาจจะทำอะไรที่มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ เรื่องของผู้มีฤทธิ์คิดไปแล้วปวดหัว วิบากกรรมผลการให้ผลของกรรมก็อธิบายยาก บางครั้งก็อยู่นอกเหตุเหนือผล ส่วนเรื่องของโลกก็ยากที่จะเข้าใจได้ อยู่ดีๆอาจจะเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วมโลกหรือโลกอาจจะแตกสลายหายวับไปกับตาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ขนาดเล็กดวงหนึ่งในจักรวาลเท่านั้นเอง
         ก่อนจะมาเกิดในชาติสุดท้ายเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบารมีเป็นเวลายาวนานถึงสี่อสงขัยแสนกัป หากจะถามว่าเป็นเวลานานเท่าใด อันนี้ก็ตอบยากอีก คำว่า “อสงขัย” แปลว่านับไม่ได้ หากอยากจะพิสูจน์ก็ลองนับดูเอาเองว่าคนธรรมดานับได้ถึงตัวเลขเท่าไหร่ เริ่มจาก 1-2-3-4 ไปเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งจะลืม เช่นอาตมานับได้ประมาณแสนปลายๆก็ลืมแล้ว ต้องเริ่มต้นนับใหม่อีกครั้ง บางครั้งนับได้ไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำลืมก่อน
         ในแต่ละชาติที่ถือกำเนิดพระโพธิสัตว์ก็จะบำเพ็ญพุทธการกธรรม 10  คือ ทานบารมี  สีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี  ขันติบารมี  สัจจบารมี  อธิษฐานบารมี  เมตตาบารมี และอเบกขาบารมี  บริบูรณ์ นอกจากนั้นในชาติที่จะตรัสรู้เป้นพระพุทธเจ้าก็ต้องประกอบด้วยธรรมสโมธาน 8 ประการบริบูรณ์คือความเป็นมนุษย์   ความสมบูรณ์ด้วยเพศ ( ชาย)  เหตุ (ที่จะได้บรรลุพระอรหัต) ได้พบเห็นพระศาสดา   ได้บรรพชา สมบูรณ์ด้วยคุณ(คือได้อภิญญาและสมาบัติ) การกระทำอันยิ่ง (สละชีวิตถวายพระพุทธเจ้า)  ความเป็นผู้มีฉันทะ (อุตสาหะพากเพียรมาก)   และบำเพ็ญ

 

         ในชาติสุดท้ายก่อนจะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อกำเนิดเป็นเวสสันดรก็ได้บำเพ็ญการบริจาคที่ยิ่งใหญ่ห้าประการครบบริบูรณ์ที่เรียกว่า  "ปัญจมหาบริจาค" คือ สิ่งที่บริจาคได้ยากยิ่งห้าประการคือ "บริจาคทรัพย์ อวัยวะ ชีวิต บุตร ภรรยา" ดังที่แสดงไว้ในอรรถกถาเวสสันตรชาดก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 4 ภาค 3 หน้าที่ 732 ความว่า "ธรรมคือประเพณีของพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน ได้ยินว่าพระโพธิสัตว์นั้นทรงอนุสรณ์ถึงประเพณีแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในขณะนั้นแต่นั้นพระองค์ทรงดำริว่า พระโพธิ์สัตว์ทั้งปวงไม่ทรงบริจาคมหาบริจาค 5 ประการ คือ บริจาคทรัพย์ บริจาคอวัยวะ บริจาคชีวิตบริจาคบุตร บริจาคภรรยา หาเคยเป็นพระพุทธเจ้าได้ไม่ ก็ตัวเราก็เข้าอยู่ในจำพวกพระโพธิสัตว์เหล่านั้น แม้เราไม่บริจาคบุตรและชายา ก็ไม่อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ทรงดำริฉะนี้แล้ว ยังสัญญาให้เกิดขึ้นว่า แน่ะ เวสสันดรเป็นอย่างไร ท่านไม่รู้ความที่บุตรและบุตรีที่ให้เพื่อเป็นทาสทาสีแก่ชน เหล่าอื่น จะนำมาซึ่งความทุกข์ดอกหรือ เราจักตามไปฆ่าชูชกด้วยเหตุไรเล่าแล้วทรงดำริต่อไปว่า ขึ้นชื่อว่าบริจาคทานแล้วตามเดือดร้อนภายหลัง หาสมควรแก่เราไม่ ทรงตัดพ้อพระองค์เองอย่างนี้แล้ว ทรงอธิษฐานสมาทานศีลมั่นโดยมนสิการว่า ถ้าชูชกฆ่าลูกทั้งสองของเรา จำเดิมแต่เวลาที่เราบริจาคแล้วเราจะไม่กังวลอะไร ๆ ทรงอธิษฐานมั่นฉะนี้แล้ว เสด็จออกจากบรรณศาลาประทับนั่ง ณ แผ่นศิลา แทบทวารบรรณศาลา ดุจปฏิมาทองคำฉะนั้น”

 

         ในชาติสุดท้ายเมื่อกำเนิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อออกบรรพชาก็ศึกษาปฏิบัติจากสำนักอาจารย์ต่างๆนานถึงหกปี จนกระทั่งได้ค้นพบวิถีทางที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้านั่นคือ “มัชฌิมาปฏิปทา” หรือที่เรียกว่าทางสายกลาง คือไม่เอนเอียงไปทางการทรมานตนที่เรียกว่า “อัตตกิลมถานุโยค” และไม่ปฏิบัติหนักไปทางปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอำนาจความอยากที่เรียกว่า “กามสุขัลลิกานุโยค”  วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนวิสาขที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ เจ้าชายสิทธัตถะนักบวชหนุ่มในวัย 35 ปี ได้ตัดสินเด็ดเดี่ยวยอมพลีตนเพื่อการบรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณที่ที่แสดงไว้ในทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย ปฐมปัณณาสก์ (20/251/48) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลายได้ยินว่า เราเริ่มตั้งความเพียรอันไม่ย่อหย่อนว่าจะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไปก็ตามเถิด หากยังไม่บรรลุผลที่บุคคลพึงบรรลุได้ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรเสีย”
         หากจะแปลความตามภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า “ไม่ตายไม่เลิก” จะมีใครสักกี่คนที่กล้ากล่าวคำปฏิญาณตนอย่างนั้น เพราะความตั้งใจจริง ทำจริง สละตนจริง โลกนี้จึงมีพระพุทธเจ้าบุคคลเป็นเป็นเอกของโลก เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่มหาชน ดังที่แสดงไว้ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต (20/139/22 ) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลกเพื่ออัตถะประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลผู้เอกเป็นไฉน คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่ออัตถะประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”

 

         ในโอกาสแห่งวันครบรอบพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ชาวพุทธได้จัดงานฉลองทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทย วัด องค์กรทางศาสนาต่างๆได้จัดงานในเทศกาลวันวิสาขบูชาทั่วประเทศ ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดอยุธยาได้จัดงาน พุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โดยมีการประชุมพระธรรมทูตจากทั่วโลก  การสัมมนาวิชาการจากนักวิชาการทั่วโลกภายใต้หัวข้อสี่เรื่องคือ(1) พุทธิปัญญาและการปรองดอง (Buddhist Wisdom and Reconciliation) (2) พุทธิปัญญาและสิ่งแวดล้อม (   Buddhist Wisdom and Environment) (3) พุทธิปัญญาและการปรับเปลี่ยนชีวิตมนุษย์ (Buddhist Wisdom and Human Transformation) และ(4)สัมมนาเชิงปฏิบัติการพระไตรปิฎกสากล สรุปได้สั้นๆน่าจะเป็น “การอยู่ร่วมกับคนอื่น การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การอยู่กับตนเอง และการสร้างผลงานไว้กับโลก” นั่นเอง งานจัดในช่วงวันที่ 29 พฤษภาคม ถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2555 ใครอยากฟังภาษาอังกฤษขอเชิญได้ หรือหากจะอ่านจากเอกสารการประชุมก็เข้าไปดูได้ที่ http://www.undv.org/  มีเอกสารในการสัมมนาให้อ่านมากมาย
 

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
01/06/55

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก