วันนั้นเป็นวันหยุดไม่มีงานที่ไหน ไม่รับงานที่ไหน ตั้งใจว่าจะให้เป็นวันหยุดจริงๆ จะไม่ดูโทรทัศน์ ไม่อ่านหนังสือ ไม่เขียนหนังสือ ไม่เดินทางไปไหน จะอยู่ที่วัดอยู่ที่กุฏิคนเดียว ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามครรลองของมันตามสภาวะที่มันเป็น พยายามอยู่กับปัจจุบันที่เห็นและเป็นอยู่ ไม่ต้องเดินทางไปไหนทั้งนั้นอยู่ที่ห้องเดิมที่เคยอยู่นี่แหละ ดูซิว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร
พอตั้งใจไว้อย่างนั้น ความยุ่งยากก็เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะมีโทรทัศน์อยู่ตรงหน้าพร้อมที่จะเปิดเครื่องได้ทุกเวลา รายการในวันหยุดยิ่งน่าสนใจ มีจอคอมพิวเตอร์ที่พร้อมจะเปิดใช้งานได้ทันที มีหนังสือเต็มตู้ที่รอการอ่าน ความเคยชินที่คุ้นเคยทำให้ยากหากคิดจะเปลี่ยนแปลง สิ่งที่คุ้นเคยทำให้อยากจะทำ อยากอ่านหนังสือ อยากดูโทรทัศน์ จิปาถะที่จิตพยายามร้องขอ แต่เมื่อเราไม่ยอมทำตามที่จิตคิด ตอนนี้ก็มีเรื่องใหม่คือคิดย้อนไปยังอดีตที่ผ่านมาแล้ว โน่นสมัยเป็นเด็ดเลี้ยงควายอยู่กลางทุ่ง ดูเหมือนชีวิตจะเรียบง่ายไม่ต้องกังวลใจกับอะไรเลย คอยเฝ้าดูแค่ฝูงควายมันจะไปเที่ยวไปเข้าสวนของชาวบ้าน หากควายยังกินหญ้าอยู่กลางทุ่งก็ไม่ต้องทำอะไร ชีวิตเด็กเลี้ยงควายเพียงแต่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ เช้านำความออกจากคอก พอตกตอนเย็นก็ต้อนควายกับยังคอก กินข้าวเย็นเสร็จก็เข้านอน
โตมาหน่อยเริ่มมีความรัก ก็หันมาถามตัวเองว่าเกิดความรักระหว่างหนุ่มสาวขึ้นตอนไหน อายุเท่าไหร่ ก็ตอบตัวเองไม่ได้อีก มันเกิดพร้อมกันหลายคน เกิดหลายครั้ง เป็นประเภทที่วัยรุ่นพิมพ์ตัวโตๆติดไว้หลังเสื้อยืดว่า “ขาดเธอก็เหงา ขาดเขาก็คงเสียใจ อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน” ประมาณนั้น ความรักมันแปลกเวลามันก่อตัวขึ้นมันไม่บอกให้เรารู้ แต่ทว่าเฝ้าคิดถึงสาวคนที่หมายปอง แม้ไม่ได้เห็นหน้าได้เดินเมียงมองผ่านหน้าบ้านก็ยังดี เรียกว่า “แม้จะไม่ได้เห็นหน้า เห็นเพียงผ้าก็ยังดี” คิดไปทำไมมีเรื่องก็ผ่านมานานแล้ว
ดึงจิตกับมาให้อยู่กับปัจจุบันเรากำลังทำอะไรอยู่ มองไปรอบกายเห็นมีแต่หนังสือไม่รู้ซื้อมาทำไม บางเล่มซื้อมาเก็บไว้นานหลายปีแล้วก็ยังไม่ได้อ่าน บางเล่มอ่านได้ครึ่งเดียว จะมีสักกี่เล่มที่อ่านจบแล้ว มีอีกสักกี่เล่มที่ยังไม่ได้อ่าน แล้วจะอ่านเรื่องอะไร พอคิดจะไม่ทำอะไรใจมันเกิดอยากอ่านหนังสือขึ้นมา เสียงนกหลากหลายชนิดร้องจอแจอยู่ข้างๆห้อง นกเหล่านี้มากินข้าวที่โปรยให้ทุกวัน วันนี้ลืมไปจึงเดินออกจากห้องโปรยข้าวให้นกกิน รอไม่นานนกต่างๆก็พากันมากินอาหาร และส่งเสียงตามภาษานก ชีวิตของสัตว์เหล่านี้ก็ไม่มีอะไรเกิดมาอาศัยโลกแพร่พันธุ์และตายจากโลกนี้ไป แต่เผ่าพันธุ์ยังคงอยู่ เกิดมาอย่างไรก็จากไปอย่างนั้น ไม่ต้องมีพิธีศพพอตายก็นอนนิ่งรอให้ร่างกายเป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ
ชีวิตเราเล่าแตกต่างจากนกเหล่านี้ตรงไหน หากเกิดมาแล้วไม่ทำความดีเพื่อพัฒนาตนหรือสร้างสรรค์คุณประโยชน์ให้แก่โลก ก็ไม่ต่างจากนกทั้งหลายเท่าไหร่นัก เกิดมา มีชีวิตอยู่ และตายจากโลกนี้ หากไม่มีอะไรให้คนนึกถึง ไม่นานคนก็ลืม บางคนจึงสร้างศาลา สร้างพระอุโบสถ สร้างพระ สร้างวัตถุต่างๆไว้แล้วจารึกชื่อไว้ตามสิ่งที่ตนเองสร้าง คนรุ่นหลังก็พอจะจดจำได้บ้างตามอายุของสิ่งปลูกสร้างนั้นๆ บางคนเขียนหนังสือฝากไว้ในบรรณพิภพ หนังสือบางเล่มพิมพ์แล้วพิมพ์อีกหลายครั้ง แม้ตายจากโลกนี้ไปหลายร้อยปี หากหนังสือเล่มนั้นได้รับการพิมพ์อีกเมื่อไหร่คนก็ยังจำได้ ตอนนั้นหันไปมองหนังสือ “ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันซ่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน” หนังสือเล่มนี้เขียนโดยมิเกล์ เด เซร์บันเตส ซาดร้า ต้นฉบับเป็นภาษาสเปน เล่มนี้ก็ยังอ่านไม่จบ มีอีกเล่มวางอยู่ในตู้เดียวกันเช่น “ผู้ชนะสิบทิศ สามก๊ก พี่น้องคารามาชอฟ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” เป็นต้น เวลาที่คิดว่าจะไม่อ่าน หนังสือทุกเล่มกลับน่าอ่าน แต่พอถึงเวลาอ่านกลับอ่านไม่จบสักเล่ม
จากนั้นก็เล่มต้นเก็บหนังสือโดยจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน นิยายไทย นิยายแปล ตำราวิชาการ แยกออกจากัน เวลาผ่านไปครึ่งวันแล้วก็ยังจัดไม่เสร็จ แต่ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยหนังสือที่จัดหมวดไม่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับแจกในงานต่างๆ การทำงานทำให้ลืมอดีต ตอนนี้ไม่คิดย้อนไปยังอดีตแล้ว แต่พอเลิกทำงานกลับมาอยู่กับตัวเอง ลมหายใจแรงและเหงื่อไคลผสมผสานกัน แต่ก็ทำให้เพลิดเพลินได้
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว บ่งบอกให้ทราบว่าวันเวลากำลังจะผ่านไปอีกวันแล้ว พอฟ้ามืดพยายามอยู่กับจิตใจตัวเอง อยู่กับลมหายใจ ผ่านไปสักพักหลงลืมเผลอสติไปสักครู่กลับไปคิดถึงเรื่องหากโลกแตกตอนนี้เราจะทำอย่างไร เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นเลย แต่ในความคำนึงเหมือนกับว่าโลกจะแตกในวันสองวันนี้ จากนั้นใจก็เริ่มคิดไปยังดาวอังคาร ไปยังมนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริงหรือ ถ้ามีจะพบได้อย่างไร จากนั้นก็มีคำถามเกิดขึ้นอีกมากมายเช่น “ใครสร้างโลก ใครทำลายโลก จักรวาลเกิดขึ้นมาได้อย่างไร โลกหน้ามีจริงหรือไม่ ตายแล้วจะไปไหน โลกอื่นมีอยู่หรือไม่” ตอบไม่ได้สักอย่าง แต่คำถามเหล่านี้ก่อเกิดความสงสัยขึ้นในใจ จิตเลยหาปัจจุบันไม่พบ แต่ในความสงสัยนั้นก็เกิดความรู้ขึ้นอย่างหนึ่งคือ “รู้ว่าตนเองไม่รู้” โสเครติสนักปรัชญากรีกโบราณคนนั้นช่างคิดคำพูดนี้ขึ้นมาได้ เหตุการณ์ผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว แต่คำพูดของเขายังมีจำได้ “ผู้ที่ฉลาดที่สุดคือผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไรเลย ญาณทัศนะที่แท้เกิดจากภายใน คนที่รู้จักความถูกต้องจะทำสิ่งที่ถูกต้อง”
หากไม่คิดอะไรปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นไปโดยมีเครื่องปรุงทั้งหลายเช่นโทรทัศน์ หนังสือ การทำงานหรือแม้แต่การเดินทาง ชีวิตก็ดูเหมือนจะเป็นปรกติเพราะมีความเคยชินจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากฝืนไม่ทำตามที่เคยทำ พยายามอยู่กับจิตใจตนเองอย่างเดียวกลับเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะธรรมชาติของจิตมีความดิ้นรน ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ที่ผ่านเข้า ในยุคปัจจุบันอายตนะภายในคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แทบจะถูกย้อมสีด้วยสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่าอายตนะภายนอกคือรูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ จนแทบจะทำให้ลืมสิ่งที่เป็นความจริงของสิ่งนั้นๆ ตามที่มันเป็น อายตนะภายนอกเหล่านี้ขายเป็นสินค้าได้หมด จึงมีคนขายรูป ขายเสียงเป็นต้นเป็นจำนวนมากและกำลังจะกลายเป็นสินค้าที่ยึดครองโลก
ปัจจุบันโลกถูกย้อมด้วยเชื่อคือความน่าจะเป็น เช่น หากตาไม่สวยก็ผ่าตัดใหม่ได้ รูปที่มาสัมผัสกับตาเกิดเป็นความรู้อารมณ์ทางตาคือรู้รูปด้วยตาที่เรียกว่าจักขุวิญญาณ ก็ทำให้แปรเปลี่ยนเพราะความน่าจะเป็นตามที่เจ้าของสินค้าโฆษณาให้เห็นถึงความน่าจะเป็นเช่น “หากใช้ครีมยี่ห้อนี้หน้าจะขาวใส หากดื่มเครื่องดื่มยี่ห้อนี้จะทำให้รูปร่างงดงาม หรือแม้แต่ชีวิเป็นของเรา..ใช้ซะ” เป็นต้น ความจริงจึงถูกฉาบทาด้วยความน่าจะเป็นที่แสดงออกทางสื่อต่างๆ สินค้าทั้งหลายก็เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ เพราะความน่าจะเป็น
ดึกสงัดแล้ว ความเงียบสงบแห่งรัตติกาลแผ่คลุมไปทั่วอาณาบริเวณ วันนั้นใช้อิริยาบถครบทั้งสี่อย่างคือยืน เดิน นั่ง นอน พยายามอยู่กับปัจจุบัน การคิดถึงอดีตเป็นการทบทวนความหลัง ส่วนการคิดถึงอนาคตเป็นเรื่องที่คาดหวังล่วงหน้า อดีตเป็นข้อเท็จจริงที่ผ่านไปแล้ว อนาคตเป็นจินตนาการที่ยังไม่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงความฝันที่ยังไม่ปรากฏเป็นความจริง ข้อเท็จจริงและความฝันเป็นสิ่งที่ดี แต่ทว่าการตื่นและรู้อยู่กับปัจจุบัน พอใจกับสิ่งที่เป็น นั่นเป็นมีความสุขอย่างหนึ่ง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/05/55