การทำอาหารเลี้ยงคนธรรมดาทั่วไปจำนวนประมาณหนึ่งร้อยคนคงไม่ยากอะไรนัก ถ้าหากมีการเตรียมการไว้ก่อน แต่การเลี้ยงอาหารคนพิการจำนวน 84 คน ในเวลาเย็นภายในบริเวณวัดโดยไม่ได้เตรียมการอะไรไว้ก่อนเลยนี่สิเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเกินกว่าจะเข้าใจ เนื่องจากสำหรับพระสงฆ์แล้วเป็นเวลาวิกาลเลยเวลาที่จะฉันอาหารแล้ว จึงไม่ได้เก็บอาหารอะไรไว้เลย แต่สำหรับฆราวาสที่มาขอพักในคืนนั้นพวกเขาบอกว่าเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุด เพราะอาหารเช้าเป็นเพียงข้าวต้ม ส่วนอาหารกลางวันเป็นอาหารกล่องที่รับประทานบนรถ ดังนั้นจึงตั้งความหวังไว้สูงว่าคืนนี้น่าจะได้รับประทานอาหารที่เต็มท้องและได้หลับนอนเต็มอิ่ม
เจ้าอาวาสวัดมัชฌันติการามแจ้งให้ทราบว่าในตอนเย็นของวันที่ 1 ธันวาคม 2554 จะมีคนมาพักที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมจำนวนประมาณ 84 คน โดยไม่ได้บอกว่าเป็นใครมาจากไหน จึงให้สามเณรจัดที่พักให้ทุกอย่างพร้อมซึ่งมีที่นอนและหมอน และน้ำดื่ม จากนั้นก็รอคอยเวลาว่าพวกเขาจะเดินทางมาถึงเมื่อใด
จนกระทั่งเวลาประมาณหนึ่งทุ่มผู้ประสงค์จะเข้าพักจึงเดินทางมาถึง แต่พอเห็นหน้าแขกที่จะมาพักในวันนี้ก็ต้องยืนงงทำอะไรไม่ถูก เพราะทุกคนเป็นคนพิการ มีทุกประเภทบางคนแขนขาด บางคนขาขาด บางคนตาบอด สรุปว่าที่เข้ามาพักในวันนี้ทุกคนเป็นคนพิการมีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป เมื่อทุกคนบอกว่ากำลังหิว เพราะเดินทางมาทั้งวัน พวกเขาเป็นสมาชิกสมาพันธ์คนพิการในประเทศไทยจากภาคอีสาน ผู้ประสานงานบอกว่าให้มากินข้าวเย็นที่วัดมัชฌันติการาม แต่ผู้ดูแลสถานที่ในการต้อนรับกลับไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอาหารเย็นที่ว่านั่นเลย จึงไม่ได้มีข้าวสักเม็ดสำหรับคน 84 คน
ได้ยินเท่านั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นทันที เพราะทราบเพียงแต่ว่าให้จัดที่พักเท่านั้นไม่ได้บอกว่าให้เตรียมอาหารไว้เลย ในเวลากลางคืนอย่างนี้อาหารบิณฑบาตก็ไม่เหลือแล้ว ร้านค้าข้างๆวัดก็ปิดหมดแล้ว จะไปหาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงคนจำนวน 84 คนได้เล่า เพราะวัดในเวลาเย็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะทำอาหาร แต่เมื่อมองเห็นสายตาอ้อนวอนของคนพิการเหล่านั้นที่กำลังหิวโหย เงินติดตัวก็คงมีน้อย พวกเขามีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ แต่เดินทางไกลจากทุกจังหวัดในภาคอีสานเพื่อมาร่วมงานเทอดพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ทรงมีพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 ผู้ประสานงานบอกพวกเขาว่าจะได้รับประทานอาหารเย็นและจะได้พักผ่อนหลับนอนที่วัดมัชฌันติการาม กรุงเทพมหานคร พวกเขาคงกำลังหิวจริงๆ
หัวหน้ากลุ่มนัยว่าเป็นนายกสมาพันธ์คนพิการในประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า "โครงการนี้เป็นโครงการ 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อ ซึ่งจะถึงกำหนดในวันพ่อ 5 ธันวามหาราช พวกผมคนพิการจากภาคอีสานได้ร่วมเดินทางเทอดพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปตามจังหวัดต่างๆ และในวันพรุ่งนี้ (2 ธันวาคม 2554) จะไปรวมตัวกันที่โรงพยาบาลศิริราชเพื่อทำกิจกรรมมีการถวายหนังสือลงนามถวายพระพรจากสมาพันธ์คนพิการในประเทศไทย และปวงชนชาวไทยจากภาคอีสาน คิดว่าจะพักที่วัดมัชฌันติการามจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2554 และขอรบกวนที่พักพร้อมทั้งอาหารวันละสองมื้อ จากนั้นก็จะแยกย้ายกันเดินทางกลับมาตุภูมิของแต่ละคน เป็นการสิ้นโครงการในครั้งนี้
ฟังเหตุผลแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นกิจกรรมที่ดี เจ้าอาวาสวัดมัชฌันติการามสั่งให้ต้อนรับเต็มที่ อยากได้อะไรให้บริการเต็มที่ แต่ให้ออกเงินไปก่อน หลวงตาไซเบอร์ก็ทำตามคำสั่งเพราะเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่ดีและเป็นการแสดงพลังของคนที่ได้ชื่อว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เต็มที่ แต่ละคนมีอวัยวะไม่ครบอาการสามสิบสอง แต่ทำงานที่คนมีร่างกายที่พร้อมสมบูรณ์ทำไม่ได้
เนื่องจากมีเด็กนักเรียนจากจังหวัดปทุมธานีหนีน้ำท่วมมาพักฝึกซ้อมกีฬาคาราเต้-โด้ อยู่ก่อนหลายวันมาแล้วประมาณ 20 คน ขณะนั้นทุกคนกำลังรับประทานอาหารเย็น กลิ่นอาหารในยามนี้หอมตลบอบอวลชวนชิมเป็นอย่างยิ่ง คนที่กำลังหิวได้แต่นั่งทำตาปริบๆ เมื่อคิดอะไรไม่ออกจึงขอแรงเด็กนักเรียนช่วยทำอาหารเลี้ยงแขกผู้มาใหม่ด้วย พวกเขายินดีช่วยแต่จะหาอะไรมาเป็นอาหารเล่า
ขอรวบรวมมามา ปลากระป๋องจากพระภิกษุสามเณรทั้งวัดก็ยังไม่พอ จึงให้เด็กไปซื้อข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช จากนั้นก็เริ่มทำอาหารเท่าที่จะทำได้คือต้มมามา ปลากระป๋อง ทอดไข่ เพื่อแก้ปัญหาไปก่อน พอทุกคนอิ่มหนำสำราญกันแล้ว มีใครบางคนถามถึงกาแฟขึ้นมา ตอนนี้ก็เลยบริการกาแฟก่อนนอน แต่กาลกลับเป็นไปตามที่คาดหมายนั่นคือพอดื่มกาแฟได้สักพักก็เริ่มมีเสียงพูดคุยสนทนากันไปเรื่อยๆ ตามธรรมชาติของคนตาไม่ดีจะพูดเสียงดัง อีกพวกหนึ่งเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางเริ่มจะหลับแต่อีกกลุ่มหนึ่งเริ่มสนทนา หันดูเวลาห้าทุ่มแล้วจึงบอกให้ปิดไฟนอน พรุ่งนี้จะได้มีแรงในการเดินทางต่อไป
กว่าที่เด็กนักกีฬาคาราเต้-โด้ จะล้างจาน เก็บกวาดสถานที่เสร็จเวลาก็ผ่านหกทุ่มไปแล้ว ดูเหมือนว่างานนี้พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น ต้องขอบคุณนักกีฬาพวกนี้ พวกเขาช่วยเหลืออย่างเต็มใจ บริการอาหารไปถามสารทุกข์สุกดิบ นั่งสนทนาไป หัวเราะสนุกสนานกันไป หลวงตาไซเบอร์นั่งดูไปต้องแอบกลืนน้ำลายหลายครั้ง เพราะกลิ่นอาหารในเวลากลางคืนช่างหอมเหลือเกิน เสียงท้องเริ่มร้องอุทรณ์ด้วยความหิว จึงทำได้เพียงแค่ขอกาแฟแก้หิวหนึ่งแก้ว การนั่งเฝ้าดูคนกินอาหารในขณะที่ตัวเองก็หิวโหยแต่หมดสิทธิ์ในการรับประทาน แม้จะเป็นความทรมานแต่เมื่อเห็นคนพิการเหล่านั้นรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ความหิวก็ค่อยๆมลายหายไป ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง เมื่อความหิวหายไปทุกคนก็เริ่มมีรอยยิ้มและเสียงพูดคุย แม้ตัวเองจะรู้สึกหิวเหมือนกัน แต่เนื่องจากฝึกปฏิบัติในการงดข้าวในตอนเย็นมาเป็นเวลานาน จึงไม่มีปัญหาอะไรในการนั่งดูคนรับประทานอาหารเย็น
รุ่งเช้าตีห้าเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงประกาศว่าจะออกเดินทางเวลา 07.00 น. แต่แม่ครัวกลับได้รับคำสั่งว่าจะทำข้าวต้มให้บริการเวลา 07.30 น. จึงต้องบอกยกยอดไปตอนเที่ยง เพราะนายกสมาพันธ์ฯบอกว่าจะกลับมาทานอาหารกลางวันที่นี่และจะขอพักอยู่ต่อไป หันไปเห็นลุงตาพิการท่านหนึ่งกำลังดื่มกาแฟและกอดเครื่องดนตรีอย่างหนึ่ง มีเพียงสองสายด้านหนึ่งทำจากกระป๋องน้ำสังกะสีเก่าๆ เมื่อถามก็ได้รับคำตอบว่า "เขาเรียกว่าซอ" เมื่อขอให้เล่นให้ฟัง ลุงคนนั้นไม่ลังเลก่อนจะลงมือบรรเลงเสียงเพลง โดยมีภรรยาที่ตาบอดสนิทนั่งอยู่ข้าง เสียงซอคลอกับบทเพลง "เสียงซอสั่งสาว" ตามด้วย "หลงมนต์คนสีซอ" สามีเล่นภรรยาร้อง มีบางคนเริ่มรำและคลอเพลงไปด้วย ฟังดูแม้จะเศร้าสร้อยตามบทเพลง แต่กลับสัมผัสได้ในการบ่งบอกถึงความสุขที่พวกเขากำลังจะทำเพื่อในหลวงอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย "116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อ" กำลังจะสิ้นสุดการเดินทางในวันที่ 5 ธันวาคม 2554
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
02/11/54
เสียงซอสั่งสาว
{youtube}vm9R9O3eelM&feature=related{/youtube}
หลงมนต์คนสีซอ
{youtube}f072oPooByk&feature=related{/youtube}