ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

           ชีวิตมนุษย์บางครั้งก็ต้องเดินเส้นทางที่แม้แต่ตนเองก็ไม่ได้คาดคิด แต่พอลองดำเนินตามแนวทางนั้นกลับพบกับความสุข เป็นความสุขที่ไม่อาจจะเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำได้ ต้องสัมผัสรับรู้ด้วยใจ ถ้อยคำบางคำพอกล่าวออกมาจึงมีความหมายแต่บางถ้อยคำต้องเก็บไว้ในใจรับรู้และสัมผัสได้คนเดียว เป็นเรื่องของใจสัมผัสใจโดยแท้ เสี้ยวชีวิตของแต่ละคนบางครั้งก็ไม่ได้ต่างจากละครเท่าใดนัก ละครส่วนหนึ่งมาจากชีวิตคน แต่มีหลายคนที่เกี่ยวข้อง โบราณเคยกล่าวไว้ว่า คนที่บวชนานๆมักจะหนีไม่พ้นคนประเภทที่ “อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เลื่อมใสศรัทธา” อย่างใดอย่างหนึ่ง


            เสี้ยวชีวิตของนักบวชรูปหนึ่งที่ปกติไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก ท่านชอบอยู่ตามป่า ตามถ้ำ นานๆจึงจะปรากฎกายต่อหน้าสาธารณชน มองเผินๆเหมือนพระบวชใหม่เพราะจีวรเก่าคร่ำคร่า แต่ภายใต้จีวรเก่านั้นเหมือนมีทองคำอันมีราคาซ่อนอยู่ภายใน โบราณว่าไว้ว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง”
           หลายปีมาแล้วได้พบปะสนทนากับท่านสุเมโธภิกขุท่านจำพรรษาที่วัดป่าแห่งหนึ่งชายแดนไทยพม่า แต่พอออกพรรษาท่านจะท่องเที่ยวไปตามป่าแถวๆจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เห็นท่านทีแรกก็เพียงแต่นึกว่าคงเป็นหลวงตาบวชตอนแก่ เพราะท่านทำตัวสบายเหมือนพระที่เข้าใจโลกเข้าใจชีวิต แต่พอถึงเวลาฉันภัตตาหารหลวงตาที่เข้าใจว่าพระบวชใหม่กลับนั่งเป็นประธานสงฆ์ โดยมีหลวงตาไซเบอร์นั่งเป็นองค์รอง พรรษาท่านมากกว่าใครอื่น บวชมานานกว่าพระรูปอื่นๆในอารามแห่งนั้น
           เมื่อนั่งใกล้กันจึงได้มีโอกาสคุยกัน เนื่องจากพรรษาไม่ต่างกันมาก จึงกลายเป็นเพื่อนสนทนากันได้ วันหนึ่งเวลาเย็นในขณะที่พระสงฆ์สามเณรกำลังฉันน้ำปานะและฉันยาปรมัตถ์(ทำจากพวกพืชที่เป็นยาเช่นสมอ มะขามป้อม ขิง ข่า เป็นต้น) จึงกราบเรียนถามท่านว่า “ขอโอกาสหากไม่เป็นการรบกวนขอถามคำถามท่านสักข้อ ว่าทำอย่างไรจึงบวชอยู่ได้นาน คงเข้าใจในธรรมหรือมีธรรมอะไรเป็นเครื่องอยู่ จึงครองชีวิตในเพศสมณะมายาวนานกว่ายีสิบพรรษาได้ หากไม่เป็นการเสียเวลาโปรดเมตตาเล่าให้ฟังบ้าง ชีวิตคนๆหนึ่งคือตำราเล่มหนึ่ง หากบันทึกไว้บางทีอาจจะเป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นได้เรียนรู้ได้”

 


           ท่านสุเมโธมองหน้านิดหนึ่งก่อนจะยิ้มจางๆที่มุมปากที่เรียกว่าแย้มยิ้ม มองหน้าผู้ถามนิดหนึ่งเหมือนกำลังคิดว่าจะเล่าอัตตชีวประวัติของตนดีหรือไม่ จากนั้นจึงเห็นท่านสุเมโธขยับกายให้ตรงยกกาแฟดำซึ่งเป็นกาแฟสดจากไร่ที่ชาวบ้านนำมาถวาย ก่อนจะเริ่มต้นเรื่องราวชีวิตได้เอ่ยขึ้นว่า "ผมจำคำที่ใครไม่รู้เคยกล่าวไว้ว่าคนที่บวชนั้นมักจะเป็นประเภท “คนอกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เลื่อมใสศรัทธา” ผมบวชตามประเพณีเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่ที่อยู่มาได้ในเพศสมณะเป็นเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง”

           ท่านเริ่มต้นปฐมเหตุของชีวิตสมณะเหมือนกำลังย้อนเวลากลับไปหาอดีต ตอนนั้นผมบวชได้สามพรรษาแล้ว ชีวิตในเพศสมณะดำเนินตามปกติคือเรียนหนังสือสอบนักธรรมตรี โท เอกตามธรรมเนียม ลืมบอกไปผมไม่ได้บวชที่บ้านเกิด แต่ไปบวชในอีกจังหวัดหนึ่ง นานๆจึงจะกลับมาเยี่ยมโยมพ่อ โยมแม่สักครั้ง ปีละครั้งหรือสองครั้ง ปีนั้นสอบนักธรรมชั้นเอกเสร็จผมก็ตั้งใจว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านและถึงเวลาลาสิกขาเสียที” ภิกษุวัยกลางคนท่านนั้นหยุดคิดเหมือนกำลังจะย้อนระลึกถึงอดีต
           ขณะนั้นพระสงฆ์สามเณรเริ่มขยับเข้ามาใกล้เพื่อที่จะได้ฟังเรื่องที่สุเมโธเล่าได้ถนัด ท่านเจ้าอาวาสซึ่งนั่งอันดับสามก็เดินเข้ามาขอกาแฟสดหนึ่งแก้ว ฉันเสร็จก็นั่งฟังอย่างสงบ ส่วนภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยคงกำลังคิดว่าจะได้ฟังเรื่องรักๆใคร่ๆของท่านอาจารย์ จึงขยับมาใกล้แคร่ไม้ไผ่ที่ท่านสุเมโธ หลวงตาไซเบอร์และเจ้าอาวาสนั่งสนทนากันอยู่ พระทุกรูปอยู่ในความสงบ คงปล่อยให้สุเมโธภิกษุเล่าเรื่องราวในอดีตต่อไป
           สุเมโธเล่าย้อนความหลังต่อไปว่า “วันนั้นผมกลับถึงบ้านเกิดเป็นเวลาเย็นแล้วจึงยังไม่มีโอกาสได้พบกับโยมพ่อโยมแม่เลย จึงมุ่งหน้าสู่วัดป่าเพื่อหาที่พักตั้งใจว่าพรุ่งนี้ถึงจะสนทนากับโยมแม่ ผมตั้งใจว่าจะบอกลาสิกขาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  วันนั้นฝนพึ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน ท้องฟ้าเบื้องปัจฉิมทิศกำลังถูกโอบอ้อมด้วยรังสีแห่งดวงอาทิตย์สีทองมองเห็นรุ้งหลากสีแขวนอยู่บนขอบฟ้า ท้องฟ้าหลังฝนเป็นสีแดงอมม่วงมองเห็นเป็นเงาทอดยาวไปเบื้องหน้า ฝูงนกกากำลังพากันบินกลับรวงรัง คงได้เวลาพักผ่อนหลังจากที่แสวงหาอาหารมาตลอดวัน ฝูงวัวควายกำลังถูกต้อนเข้าสู่คอก เสียงเพลงจากเด็กเลี้ยงโคแว่วมาตามกระแสลมบ่งบอกว่ากำลังมีความสุข พวกเขาคงคิดถึงอาหารเย็นที่กำลังรออยู่ที่บ้าน คิดถึงที่นอนอันอ่อนนุ่มจะได้หลับนอนพักผ่อนเสียที

 

 

           ในถนนที่ทอดยาวสู่หมู่บ้าน ผู้คนกำลังพากันกลับบ้านนั้นพลันปรากฎเงาร่างของพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งกำลังแบกกลดสะพายบาตรเดินสวนทางออกจากหมู่บ้านเหมือนกำลังเดินหาที่พัก วัดป่าอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านหลายกิโลเมตร แต่ดูเหมือนกับว่าท่วงทำนองในการเดินไม่ได้รีบร้อนอะไร คงเดินไปเรื่อยๆเหมือนกับมีความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ ภิกษุหนุ่มรูปนั้นเดินไปเรื่อย หากมีคนสังเกตจะเห็นรอยยิ้มบางๆสะท้อนกับแสงสีทองแห่งสายัณหสมัย
           เด็กเลี้ยงโคหยุดร้องเพลงเมื่อเดินสวนทางกับพระภิกษุรูปนั้น ก่อนจะหันมาถามว่า “จะไปวัดป่าหรือครับ หลวงพี่”
           สุเมโธภิกษุเอ่ยถามแทนคำตอบว่า “ที่วัดป่ามีพระภิกษุอยู่กี่รูป”
           เด็กเลี้ยงหันไปทางวัดป่าที่เริ่มมองเห็นแสงไฟจากอาณาบริเวณก่อนจะตอบว่า “ผมก็ไม่ทราบครับ พระมาแล้วก็ไป บางวันสี่ห้ารูป บางวันเหลือหลวงตาเพียงรูปเดียว”
           สุเมโธภิกขุเอ่ยขึ้นว่า “ขอบใจเธอมาก” จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าต่อไป
           เมื่อเดินทางไปถึงอารามที่เคยเป็นป่าช้ามีเพียงพระหลวงตาแก่ๆรูปหนึ่งกับพระหนุ่มอีกรูปหนึ่ง พอก้มกราบหลวงตายังไม่ทันที่เอ่ยอะไรออกมา หลวงตาก็พูดขึ้นว่า “มาก็ดีเหมือนกันพรุ่งนี้ขอนิมนต์ไปงานแต่งงานที่หมู่บ้าน คืนนี้พักผ่อนให้สบาย” จากนั้นหลวงตาก็สั่งให้พระหนุ่มรูปนั้นพาพระอาคันตุกะเข้าพักยังกุฎิเล็กๆหลังหนึ่ง จากนั้นก็ลากลับ
           ภิกษุหนุ่มเดินเล่นรอบๆบริเวณวัดเหมือนกำลังทบทวนความทรงจำบางอย่างก่อนจะพรึมพรำเบาๆคนเดียวว่า “ผ่านไปสามปีแล้วซินะ วันนี้ได้กลับบ้านเสียที”
           หมู่บ้านหนองบัวมองจากวัดป่าไปทางทิศตะวันออก วัดป่าอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน บริเวณที่เป็นวัดป่าในอดีตเคยเป็นป่าช้าเก่า เป็นป่าช้าที่ชาวบ้านหนองบัวใช้ร่วมกัน ในเวลาที่มีคนเสียชีวิตจะมาเผาที่ป่าช้าแห่งนี้ทุกคน แต่พอนานเข้าป่าช้าที่เคยมีขนาดใหญ่ กว้างขวางค่อยๆแคบเข้า เพราะชาวบ้านเจ้าของที่นารอบๆป่าช้าค่อยๆรุกที่ป่าเข้ามาทีละน้อย นานๆเข้าพื้นที่ส่วนหนึ่งของป่าจึงกลายที่นาของชาวบ้าน

 

 

           หลวงตาเดินธุดงค์มาพักที่ป่าช้า ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่ป่าช้าแห่งนี้ สองสามปีผ่านไปชาวบ้านจึงพากันสร้างที่พัก สร้างศาลามุงหญ้าคาให้ และมีลูกหลานชาวบ้านเข้ามาอุปสมบทอยู่จำพรรษา และใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีป่าช้าเลยกลายเป็นวัดป่า ชาวบ้านยังคงมีสิทธิในการใช้พื้นที่ของวัดเป็นที่เผาศพเหมือนในอดีต เผากันกลางแจ้ง ณ ที่ใดที่หนึ่งของวัดยังไม่มีเมรุเผาศพ แม้จะมีชาวบ้านหลายคนแจ้งความจำนงว่าจะบริจาคทรัพย์เพื่อสร้างเมรุเผาศพถวายไว้เป็นสมบัติกลางของชาวบ้าน
           หลวงตามักจะให้เหตุผลสั้นๆว่า “เผาตามธรรมชาติดีแล้ว ทั้งพระและชาวบ้านจะได้พิจารณาความไม่เที่ยงของสังขาร เวลาเผาศพหลวงตามักจะมอบหมายให้พระรูปใดรูปหนึ่งนอนเฝ้าศพเสมอ นัยว่าเพื่อพิจารณาอสุภกรรมฐาน จะได้เข้าใจขั้นตอนชีวิต มองเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต พระเถระบางรูปก็ยังครองเพศสมณะมาได้จนถึงปัจจุบันก็เพราะการนอนเฝ้าศพที่ป่าช้าวัดบ้านหนองบัวนี่เอง
           สุเมโธภิกขุอุปสมบทตามประเพณีนิยมของคนในหมู่บ้านที่จะต้องบวชก่อนเบียด หรือจะต้องเรียนเสียก่อนจึงจะมีสิทธิ์แต่งงาน แต่โดยทั่วไปมักจะบวชเพียงหนึ่งพรรษา แต่ทว่าภิกษุหนุ่มรูปนั้นกลับบวชถึงสามปี ก่อนบวชได้สัญญากับสาวชาวบ้านคนหนึ่งว่า หากครบหนึ่งพรรษาก็ลาสิกขาออกมาแต่งงานมีครอบครัวเหมือนชาวบ้านทั่วไป ความรักของหนุ่มสาวยังอยู่ในกรอบของประเพณี อายุยี่สิบบวชเรียน ลาสิกขาออกมาเกณฑ์ทหารและแต่งงาน นี่คือวิถีชีวิตของผู้คนในชนบทแห่งนี้
           เกณฑ์ทหารปีนั้นภิกษุหนุ่มไม่ได้รับการคัดเลือก แต่จิตใจยังฝักใฝ่ในบรรพชา พบหน้าหญิงสาวอดีตคนรักก็เพียงทักทายตามธรรมเนียม และเอ่ยปากสั้นๆว่าขอเวลาอีกหนึ่งปี หากไม่ย้อนกลับมาให้ยกเลิกสัญญาและมีสิทธิแต่งงานได้เลย แต่นี่ผ่านไปสามปีแล้วภิกษุหนุ่มผิดสัญญาเอง แต่ก็ยังหวังในใจลึกๆว่าสาวคนนั้นคงยังรออยู่  ในจิตใจตอนนี้เหมือนกำลังมีสงครามที่กำลังต่อสู้กันอย่างหนักจะลาสิกขาหรืออยู่ต่อไปดี คืนนั้นเลยนอนไม่หลับ จึงเดินเล่นรอบๆบริเวณวัดป่าที่มีเสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงเหมือนบรรเลงเพลงประสานเสียงขับกล่อมราตรีให้สดใสด้วยเสียงดนตรีแห่งรัตติกาล ภิกษุหนุ่มมองเห็นแสงไฟที่ถูกลมพัดลุกโพลงขึ้นมาเหมือนกำลังเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนให้เข้าไปทักทาย ไฟนั้นมาจากไฟที่กำลังเผาศพของชาวบ้านที่ไม่รู้จักคนหนึ่งที่พึ่งเสียชีวิต ตามประเพณีจะต้องเผาให้ครบสามวันจึงจะเสร็จสมบูรณ์ตามพิธีกรรม ภิกษุหนุ่มจึงค่อยๆสาวเท้าเข้าไปหากองไฟนั้น 

 


           สุเมโธภิกขุนั่งเงียบเพ่งมองกองฟอนเผาศพที่ไฟกำลังกรุ่นอยู่ คาดว่าคงจะผ่านการเผามาไม่เกินสองวัน ชีวิตมนุษย์จะเอาแก่นสารอะไรมากนักไม่ค่อยได้ ในที่สุดก็ต้องทอดร่างวางขันธ์คืนสู่สภาพเดิม แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หนีไม่พ้นก็ต้องดับขันธปรินิพพานเหมือนคนอื่นๆ ในวันปรินิพพานนั้นท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคาถา(10/146/125) ความว่า “สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จักต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก แม้แต่พระตถาคตผู้เป็นศาสดาเช่นนั้น หาบุคคลจะเปรียบเทียบมิได้ในโลก เป็นพระสัมพุทธเจ้าทรงมีพระกำลัง ยังเสด็จปรินิพพาน” 
           ร่างกายที่ไร้วิญญาณก็เปรียบเหมือนท่อนไม้ ไร้ประโยชน์ หากไม่ถูกไฟเผาไม่นานก็ต้องเปลื่อยเน่ากลายสภาพเป็นอาหารของปลวก พระบรมศาสดาเคยแสดงแก่พระภิกษุรูปหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคกายเน่าดังที่ปรากฎในธรรมบท ขุททกนิกาย (25/13/14) ความว่า “กายนี้อันบุคคลทิ้งแล้วมีวิญญาณปราศแล้วไม่นานหนอจักนอนทับแผ่นดิน ประดุจท่อนไม้ไม่มีประโยชน์” ต่อมาพระสงฆ์ในปัจจุบันได้นำมาใช้เป็นบทบังสุกุลเป็นตามภาษาบาลีว่า “ อจิรํ วตยํ กาโย ปฐวึ อธิเสสฺสติ ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ นิรตฺถํว กลิงฺครํ”
            ความตั้งใจของภิกษุหนุ่มก่อนจะเดินทางมาที่บ้านเกิดแห่งนี้คือตั้งใจว่าจะมาแจ้งข่าวให้โยมพ่อและโยมแม่ทราบว่าน่าจะถึงเวลาที่จะลาสิกขาแล้ว เพราะเท่าที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์มาสามพรรษาแล้ว จิตใจในขณะนั้นคือความหวังที่จะมีครอบครัวตามที่สามัญชนคนทั่วไปดำเนินมา ชีวิตพระหากยังไม่ตัดขาดจากความอาลัยคือความรักแล้วก็ยากที่จะทำใจให้หลุดพ้นได้ ชีวิตสมณะที่แท้เป็นทางสายเปลี่ยวปฏิบัติธรรมแม้จะมีเพื่อนอีกมากแต่การเข้าถึงสภาวะธรรมภายในจิตที่แท้ก็รู้เห็นได้ด้วยตนเอง ธรรมทั้งหลายเป็นปัจจัตตังคือรู้ได้เฉพาะตน
           รุ่งเช้าได้เวลาออกโคจรบิณฑบาต แต่เช้าวันนี้มีกิจนิมนต์ ในวัดป่ามีเพียงพระสามรูปและชาวบ้านไปนิมนต์พระสงฆ์จากหมู่บ้านอื่นมาในงานแต่งงาน พระหนุ่มเดินตามหลังหลวงตาโดยไม่ทราบมาก่อนว่างานแต่งงานนั้นใครแต่งกับใคร แต่ทว่าพอก้าวขึ้นบนบ้านงานนั้นก็เริ่มสงสัยว่าเจ้าสาวคือใครกันหนอ บ้านนี้จำได้ว่ามีลูกสาวสองคน จำได้ว่าก่อนบวชสาวทั้งสองยังไม่แต่งงานทั้งคู่ คนหนึ่งคือสาวเจ้าที่เคยมีสัญญาใจต่อกันมาก่อนอุปสมบท แต่พอเจ้าสาวปรากฎตัว ภิกษุหนุ่มแทบประครองตัวไว้ไม่ได้ เพราะเจ้าสาวในวันนั้นคืออดีตสาวคนรักที่เฝ้าคิดตรองมองหาทางออกมาตลอดคืนที่ผ่านนั่นเอง

 

 

           “วันนั้นผมวู้สึกว่าหมดอาลัยตายอยากในชีวิต แม้จะอยู่ในเพศสมณะแต่ใจที่ยังไม่ขาดจากความอาลัยในความรัก ยังตัดรักไม่ขาด ตัดสวาทไม่สิ้น ก็เหมือนลูกโคที่ยังไม่หย่านม มีพุทธภาษิตบทหนึ่งในธรรมบท ขุททกนิกายว่า “กิเลสดุจหมู่ไม้ในป่าแม้ประมาณน้อยในนารีของนระ ยังไม่ขาดเพียงใด นระนั้นยังมีใจเกาะเกี่ยว ดุจลูกโคผู้ดื่มกินน้ำนม มีเกาะเกี่ยวในมารดาเพียงนั้น”  จะทำอย่าไรดีหนอทางโลกธรรมก็อยากทำ ทางธรรมก็อยากได้ พระหนุ่มคิดไม่ตก  ผมคิดพิจารณาอยู่หลายปีกว่าจะทำใจให้ลืมเลือนอดีตได้ ความทรงจำยากที่จะลืมเลือนจริงๆผมไม่ได้ตัดสินใจจะครองเพศสมณะอยู่ตลอดไปหรอก แต่ก็อยู่มาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ ยี่สิบพรรษาล่วงมาแล้ว ต้องขอบคุณหญิงคนนั้นที่รีบแต่งงานก่อน เราคงไม่ใช่เนื้อคู่กัน แม้จะมีใจให้กันแต่หากไม่เคยทำบุญร่วมกันมาก่อนถึงอย่างไรก็ไม่ได้ครองคู่กัน ผมจึงเดินทางสายเปลี่ยวในเพศสมณะมาโดยตลอดเวลาหลายปีและคิดว่าคงจะอยู่ต่อไปไม่มีกำหนด ชีวิตคนนี้สั้นนัก ไม่นานก็ต้องไปจากโลกนี้แล้ว รีบทำความดีเข้าไว้ อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์”  
           สุเมโธภิกษุจบเสี้ยวชีวิตด้วยรอยยิ้มอย่างผู้เข้าใจโลก และเข้าใจชีวิตก่อนจะสรุปสั้นๆว่า “บางครั้งเราก็ต้องเดินในเส้นทางที่ไม่ได้คาดคิด เหมือนผมที่คิดจะไปบอกลาสิกขาเพื่อดำเนินวิถีชีวิตทางโลกแท้ๆ แต่ต้องไปร่วมงานแต่งงานของอดีตสาวคนรัก” สุเมโธจบเรื่องราวเหมือนเป็นการตอบคำถามว่า ที่ครองเพศสมณะอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน เพราะอดีตสาวคนรักแต่งงานไปก่อนที่ท่านจะได้ลาสิกขา  จากนั้นจึงสรุปสั้นว่า “หากจิตใจยังมีความรักหรือความชังอยู่ภายในก็ยากที่จะเห็นสัจจธรรมได้ ธรรมนั้นต้องเห็นด้วยใจ มิใช่อ่านจากตำราซึ่งเป็นความรู้ระดับสัญญา ส่วนการเห็นคือความรู้”
           ฟ้ามืดแล้วมีเพียงแสงเทียนที่ส่องแวววับภายใต้โคมผ้าสีขาวที่ทำจากผ้าใช้ลวดทำเป็นวง ใส่เทียนไว้ภายในก็กลายเป็นโคมไฟที่ให้แสงสว่างได้แล้ว ใส่ไม้สอดเข้าไปทางด้านบนก็กลายเป็นที่ถือเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนได้สะดวก และยังป้องกันกระแสลมไม่ให้เปลวเทียนดับได้ ภิกษุสามเณรวัดป่าค่อยๆแยกย้ายกลับที่พัก เห็นเจ้าอาวาสเหมือนกำลังอยากเล่าอะไรสักอย่าง จึงบอกท่านว่า “พรุ่งนี้ยังมีเวลา ผมก็อยากถามคำถามเดียวกันนี้จากท่านเจ้าอาวาสเหมือนกัน” พวกเราเหมือนกำลังเดินบนเส้นทางสายที่เปลี่ยวร้าง แต่ในความเปลี่ยวไม่ใช่ทางเปล่าเพราะเป็นทางที่ครูบาอาจารย์จำนวนมากต่างก็เคยเดินทางสายนี้มาก่อนแล้ว


           วันรุ่งขึ้นหลังฉันภัตตาหารเสร็จ ท่านสุเมโธบอกลาเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายพร้อมกับบอกวัตถุประสงค์ว่า “ผมตั้งใจจะเดินธุดงค์ไปพม่า ไปไหว้พระธาตุอินแขวน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ และหากไม่มีอุปสรรคอะไรจะอยู่จำพรรษาที่พม่าสักสองสามปี จากนั้นจึงจะเดินเท้าไปแดนพุทธภูมิ หากไม่ตายก่อนคงได้พบกันอีกครั้ง”
            ยืนมองเงาหลังอันโดดเดี่ยวเดียวดายของท่านสุเมโธที่เดินสะพายบาตร แบกกลดมุ่งหน้าไปยังขุนเขาที่ทอดเป็นเงาทะมึนสลับซับซ้อน เส้นทางสายที่เปลี่ยวร้าง แต่ทว่าจิตใจที่มุ่งมั่นของนักเดินทางท่านหนึ่ง ยังคงเดินหน้าต่อไปบนทางสายเปลี่ยวที่ท่านได้เลือกแล้วด้วยตัวท่านเอง ในบัดดลนั้นก็พลันนึกถึงบทกวีท่อนหนึ่งที่ผุดขึ้นมากระทันหันว่า “ในป่ารกนั้นมีทาง  ที่อ้างว้างไร้คนเดิน แม้เปลี่ยวร้างไร้คนเมิน แต่พอเดินกลับมีทาง” ฉันก็มีทางของฉันเองที่จะต้องเดิน
            ท่านสุเมโธมีทางของตัวเอง แม้จะโดดเดี่ยวอ้างว้างเป็นทางสายเปลี่ยว แต่การเดินทางคนเดียวคงเป็นทางที่ท่านเลือกแล้ว ผู้เขียนก็ได้เลือกทางเดินของตัวเองแล้วเหมือนกัน แม้ไม่ใช่ป่าเขาลำเนาไพร แต่ก็เป็นป่าคอนกรีตผู้คนหลากหลายสัญจรไปมาพลุกพล่าน แต่ในจำนวนคนเหล่านั้นกลับไม่รู้จักใครสักคน เราก็กำลังเดินบนเส้นทางสายเปลี่ยวเหมือนกัน


พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
ถ่ายทอดจากอัตตชีวประวัตของสุเมโธภิกขุ
05/09/54

  

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก