เทศกาลถือศีลกินเจหรือกินผักเริ่มมาหลายวันแล้ว มีหลายคนมีหลายคนมาชวนให้เลือกกินเนื้อสัตว์หันมากินผักแทนนัยว่าจะทำให้ชีวิตและสุขภาพดี ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ หากใครทำได้ก็ขออนุโมทนาสาธุในกุศลเจตนาที่ได้ตั้งใจงดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์แต่ผู้เขียนไม่งดไม่เว้นจากเนื้อสัตว์ แต่พยายามไม่แตะต้องเท่าที่สามารถจะทำได้ อาหารประเภทเนื้อสัตว์นั้นผู้เขียนงดเว้นเนื้อบางประเภทไม่ฉันมานานแล้ว บางอย่างการงดเว้นก็มีสาเหตุที่ประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
นานมาแล้วเมื่อครั้งที่อุปสมบทใหม่ๆ วันหนึ่งกลับไปเยี่ยมโยมแม่ที่บ้านเกิด ในวันรุ่งขึ้นเจ้าอาวาสบอกว่ามีงานอะไรสักอย่างในหมู่บ้าน เขานิมนต์ไปฉันอาหารเช้าที่บ้านเจ้าภาพ พรุ่งนี้ให้เตรียมตัวให้พร้อม พระบวชใหม่ก็รับนิมนต์แม้ว่าในใจไม่อยากจะรับก็ตาม ตอนนั้นมีวัตถุประสงค์เดียวคือจะมาบอกลาสิกขา
วัดที่บ้านเกิดเป็นวัดป่า ธรรมเนียมปฏิบัติของวัดป่าคือข้างกุฏิจะมีทางเดินจงกรม เย็นวันนั้นแสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องลอดเงาไม้จากปัจฉิมทิศส่องแสงดูเป็นเหมือนลำแสงที่กำลังจะโบกมือลาทิวาวาร จิตใจตอนนั้นรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด สรรพชีวิตล้วนต้องมีความหวังเพื่อการอยู่รอดอย่างมีความสุข ท้าวก็ก้าวเดินตามทางจงกรมรอบแล้วรอบเล่า ในวันที่จิตใจไม่สับสนไม่ต้องกังวลถึงสิ่งอื่นใดอีกแล้ว แม่ก็มีน้องชายคนรองและสาวคนเล็กดูแลอยู่แล้ว ส่วนพี่ชายคนโตก็คือผู้เขียนเองก็กำลังทำหน้าที่ของชายไทยคือจะต้องบวชเสียก่อนอย่างน้อยหนึ่งพรรษา ซึ่งก็ได้ทำหน้าที่ของการเป็นพระภิกษุอย่างดีที่สุดแล้ว
เนื่องจากวัดป่าอยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่ไกลนักระหว่างวัดกับหมู่บ้านมีทุ่งนาขั้นอยู่ตรงกลางช่วงนั้นเป็นหน้าแล้งจึงมองเห็นเพียงทุ่งนาโล่งเตียน ไม่มีข้าวกล้า ฝูงวัวควายต่างเลาะเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลิน เด็กเลี้ยงโคบางคนกำลังไล่ต้อนวัวควายกลับสู่คอก แสงแดดตอนสายัณหสมัยส่องประกายสีทองมองเห็นหมู่บ้านที่หลบอยู่ใต้เงาของหมู่แมกไม้ ระยะทางประมาณสองสามกิโลเมตรมองเห็นได้แต่ไม่แจ่มชัดนัก นั่นคือหมู่บ้านที่เราถือกำเนิดและอยู่อาศัยด้วยความคุ้นเคยมานานกว่ายี่สิบปี
ทางเดินจงกรมอยู่ติดเขตวัดด้านนอกมีเพียงเถาวัลย์ที่ขึ้นตามรั้วไม้ผุๆเท่านั้นเป็นกำแพง วัดยังไม่มีกำแพงคอนกรีตกั้น ถัดจากวัดไปอีกด้านเหนือเป็นสวนของชาวบ้านซึ่งก็ปลูกผลไม้เช่นมะม่วง น้อยหน่า กล้วย อ้อย เป็นต้น ไม่ได้ปลูกไว้ขายแต่ปลูกไว้รับประทาน พอถึงหน้ามะม่วงสุกพวกเด็กๆจะถือตะกร้าเที่ยวหามะม่วงที่หล่นเกลื่อนใต้ต้น แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการรับประทานเป็นของหวานในหนึ่งมื้อ แม้สวนจะมีเจ้าของแต่ก็ไม่ได้หวงห้าม ชาวบ้านถิ่นนี้ยังแบ่งปันกันอยู่กินตามสมควร โจรและขโมยจึงไม่ค่อยมี เป็นหมู่บ้านที่สงบสุขแห่งหนึ่ง อาจจะมีบ้างที่พวกหนุ่มๆที่พากันแอบสูบกัญชาแต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรมากนัก พวกเขาเพียงหาผลไม้กินอิ่มพบปะพูดคุยและกลับบ้าน
เดินจงกรมและคิดอะไรเพลินๆอยู่คนเดียวพลันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีสัตว์บางอย่างวิ่งเข้ามา พอหันกลับไปดูเห็นแม่วัวตัวหนึ่งขนาดกำลังงามวิ่งมาล้มใกล้ทางเดินจงกรมพอดี จึงเดินเข้าไปใกล้ วัวตัวนั้นถูกตีที่หัวมีเลือดสีแดงไหลซึมมาที่ดวงตา จึงเดินเข้าไปใกล้และก้มลงดู สายตาที่แม่วัวตัวนั้นกำลังมองเหมือนกับกำลังจะบอกว่า “ช่วยฉันที ฉันกำลังจะสิ้นใจตาย” มันมองมาที่พระหนุ่มที่ก้มลงเอามือลูบหัวและวัวตัวนั้นค่อยๆหลับตาลงเหมือนกับจะหลับไหลไปตลอดกาล
สักพักก็ได้ยินเสียงชาวบ้านร้องเอะอะโวยวายมาจากทุ่งนาข้างวัด ได้ยินเสียงหนึ่งบอกว่า “น่าจะเข้าไปที่วัด เพราะไม่มีที่อื่นแล้ว” จากนั้นจึงเห็นชายสามสี่คนถือไม้ค้อน และมีดเดินตรงมาที่ผู้เขียนกำลังนั่งอยู่กับแม่วัวตัวนั้น พอได้ยินเสียงคน แม่วัวตัวนั้นใช้กำลังเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่กระเสือกกระสนลุกขึ้นวิ่งไปยังสวนมะม่วงทางด้านทิศเหนือ ชาวบ้านคนหนึ่งหันมาทักทายและถามว่าเห็นวัวตัวหนึ่งเข้ามาทางนี้หรือไม่
วินาทีนั้นแม้จะเป็นคำถามง่ายๆ แต่ทว่าเวลาตอบกลับยากเย็นแสนเข็ญอย่างยิ่ง หากตอบว่าเห็นแม่วัวตัวนั้นก็คงถูกฆ่า หากบอกว่าไม่เห็นก็จะเป็นการโกหก จึงได้แต่ยืนอ้ำอึ้งตอบคำถามนั้นไม่ได้ มีเสียงชายคนหนึ่งบอกว่าวัวคงหนีไปทางสวนมะม่วงโน่น ชายเหล่านั้นพากันยกมือไหว้ทั้งๆมีดและฆ้อนยังอยู่ในมือ จากนั้นก็พากันตามวัวตัวนั้นไปทางด้านทิศเหนือ คิดว่าไม่นานนักวัวตัวนั้นคงสิ้นชีพและกลายเป็นอาหารของผู้มาร่วมทำบุญในวันรุ่งขึ้น
ช่วงเวลานั้นอารมณ์ความรู้สึกยากที่จะเข้าใจจริงๆ ชาวบ้านคงฆ่าวัวเพื่อนำมาเป็นอาหารเลี้ยงดูผู้คนที่มาร่วมงาน คนฆ่าวัวคงผิดพลาดในการประหาร วัวจึงหลุดรอดและวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอกตามสัญชาตญาณ วัวตัวนั้นคงมองเห็นราวป่าคิดว่าคงจะหลบซ่อนตัวได้ จึงหวังจะเอาตัวรอดด้วยการหลบซ่อนตัว แต่บังเอิญมาประจันหน้ากับพระสงฆ์เข้า หากตอนนั้นคิดทันคงเอ่ยปากขอชีวิตวัวตัวนั้นจากชาวบ้านไปแล้ว แต่ตอนนั้นคิดไม่ทันเพราะบวชใหม่หรือเพราะตกใจก็ไม่รู้ ทุกวันนี้หากเห็นการไถ่ชีวิตโคกระบือจะไม่ลังเลในการช่วยเหลือ เพราะความผิดพลาดในครั้งนั้นที่ไม่อาจช่วยชีวิตวัวผู้น่าสงสารตัวนั้นได้
คืนนั้นนอนไม่หลับพอหลับตาลงครั้งใดมองเห็นแต่สายตาวิงวอนร้องขอชีวิตของเจ้าวัวตัวนั้น แม้จะเป็นการสื่อคนละภาษาแต่ทว่าบางครั้งก็สัมผัสและรับรู้ได้ วัวตัวนั้นคงด่าอยู่ในใจว่าอุตส่าห์หนีมาพึ่งยังช่วยไม่ได้อะไรทำนองนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นอาหารที่ชาวบ้านนำมาถวายพระสงฆ์มีแต่ประเภทเนื้อ แต่พอเห็นเนื้อแล้วจิตใจพลันย้อนกลับไปคิดถึงสายตาวิงวอนของเจ้าวัวตัวนั้น จึงฉันเนื้อไม่ได้เลย เพื่อการมีชีวิตรอดจึงฉันได้แค่น้ำพริกกับผักนิดหน่อยเท่านั้น จากวันนั้นมาก็ฉันเนื้อวัวไม่ได้อีกเลย เพราะคราวใดที่เห็นเนื้อก็จะกลับไปคิดถึงสายตาร้องขอชีวิตของเจ้าวัวตัวนั้นทุกที แม้จะไม่ได้ฉันเจ แต่เนื้อบางอย่างก็งดเว้นมานานแล้ว
ในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าเคยแสดงถึงการฉันเนื้อเพราะมีเรื่องที่ถูกติเตียนว่าพระพุทธเจ้ายังคงฉันเนื้อสัตว์ดังที่ปรากฎในชีวกสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (13/56/42) ความว่า “สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เขตพระนครราชคฤห์ หมอชีวกโกมารภัจจ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้มาว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่าใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่า กล่าวตรงกับที่พระผู้มีพระภาคตรัส ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่เป็นจริง ชื่อว่ายืนยันธรรมอันสมควรแก่ธรรม การกล่าวและกล่าวตามที่ชอบธรรม จะไม่ถึงข้อติเตียนละหรือ
พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า “ดูกรชีวก ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังเสวยเนื้อสัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำดังนี้ ชนเหล่านั้นจะชื่อว่ากล่าวตรงกับที่เรากล่าวหามิได้ ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง ดูกรชีวกเรากล่าวเนื้อว่า ไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุสามประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุสามประการนี้แล
ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุสามประการ คือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุสามประการนี้แล
จากพระสูตรนี้แสดงเนื้อที่ไม่ควรบริโภคคือ “เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ” จากกรณีของวัวตัวนั้นทั้งได้เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อนำมาเป็นอาหารและยังนำมาถวายพระสงฆ์ ทั้งได้ยินผู้ไล่ล่ากับผู้ถูกล่า จึงเกิดความรังเกียจขึ้นมาว่าพวกเขาฆ่าสัตว์เพื่อนำเนื้อมาถวายพระ อย่างนี้เป็นเนื้อที่ไม่ควรบริโภค
แต่ถ้าหากงดเว้นจากการฉันเนื้อตลอดชีวิต ก็จะมีปัญหาอย่างหนึ่งตามมาคือจะกลายเป็นผู้เลี้ยงยาก อยู่ลำบากเพราะชีวิตพระสงฆ์ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับชาวบ้าน เขาถวายอาหารอะไรมาบางครั้งก็เลือกไม่ได้ หากใครพอมีโอกาสงดบริโภคเนื้อสัตว์ได้ในช่วงเทศนกาลกินผักก็ขออนุโมทนา อาตมาก็อยากฉันเจเหมือนกัน แต่บางวันไม่มีจะฉัน ต้องฉันอาหารที่เป็นประเภทเจสำเร็จรูป
เหตุการณ์ในครั้งนั้นแม้จะผ่านมานานกว่าสามสิบปีแล้ว แต่สายตาวิงวอนร้องขอชีวิตของแม่วัวตัวนั้นยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำ หากคิดเมื่อไหร่เหมือนได้ยินเสียงตำหนิของวัวเคราะห์ร้ายตัวนั้นที่ต้องสังเวยชีวิตลงเพราะบังเอิญชาวบ้านเลือกที่จะนำเนื้อวัวมาเป็นอาหาร ทุกวันนี้หากทราบว่าเป็นอาหารที่ทำมาจากเนื้อวัวเมื่อไหร่ต้องปฏิเสธทุกครั้งไป สายตาของเจ้าวัวตัวนั้นที่มองมาในเย็นวันนั้นมันลืมไม่ลงจริงๆ
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
29/09/54