ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

          ทรัพย์สมบัติทั้งหลายหากไม่รักษาไว้ให้ดีอาจถูกขโมยแย่งชิงไปได้ แม้จะมีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์คอยสอดส่องดูแลความสงบสุขของมหาชนอยู่ก็ตาม แต่ธรรมชาติของโจรเผลอเมื่อไหร่เป็นอันหาช่องทางขโมยจนได้ แม้บ้านเมืองจะมีกฎหมายแต่เมื่อความโลภในจิตใจคนมีมาก บางครั้งกฎหมายก็ถูกละเลย ไม่ต้องกล่าวถึงกฎศีลธรรมเพราะส่วนมากมักจะมีผลบังคับใช้หลังจากตายไปแล้ว มีสิ่งใดหรือไม่ที่โจรลักหรือขโมยไปไม่ได้หรือหากขโมยไปก็กระทำได้โดยยาก


          ครั้งหนึ่งเทวดาองค์หนึ่งได้เข้าไปทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า ดังข้อความที่ปรากฏในชราสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/158/45) ความว่า“อะไรหนอยังประโยชน์ให้สำเร็จ จนกระทั่งชรา อะไรหนอตั้งมั่นแล้วยัง
ประโยชน์ให้สำเร็จ อะไรหนอเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย อะไรหนอโจรลักไปได้ยาก”
          พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ศีลยังประโยชน์ให้สำเร็จจนกระทั่งชรา ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ ปัญญาเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย บุญอันโจรลักไปได้ยาก”
          ในอรรถกถาชราสูตรได้อธิบายไว้สรุปว่า “เครื่องประดับทั้งหลายมีแก้วมุกดาแก้วมณีและผ้าเป็นต้นย่อมงามแก่บุคคลในเวลาที่ยังเป็นหนุ่มสาวเท่านั้น เมื่อบุคคลทรงเครื่องประดับเหล่านั้นในเวลาที่ตนเป็นผู้แก่คร่ำคร่าแล้วเพราะชราก็จะประสบถ้อยคำอันบุคคลพึงกล่าวว่า บุคคลนี้ย่อมปรารถนาจะเป็นเด็กแม้ในวันนี้เห็นจะเป็นบ้า


          ส่วนศีลหาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะว่าศีลย่อมงามตลอดกาลเป็นนิตย์   ชนทั้งหลายย่อมรักษาศีลในวัยเด็กก็ดี ในวัยกลางคนก็ดี  ในวัยแก่ก็ดี ย่อมไม่มีผู้ที่จะกล่าวว่ามีประโยชน์อะไรด้วยศีลของบุคคลนี้”
          เคยเห็นไหมคนแก่ที่อยากเป็นคนหนุ่มสาว แต่งตัวเหมือนคนหนุ่มสาวหรือไม่ก็แต่งหน้าเพื่อทำให้คนเห็นว่าตนยังไม่แก่ชรา ทั้งๆอายุมากแล้ว ตามธรรมชาติมนุษย์หากมีอายุมากก็ต้องแก่ชราเป็นธรรมดา จะคงความเป็นหนุ่มสาวอยู่ได้ตลอดไปนั้นยากที่จะพบเห็น หากคนชรามีศีลคือความเป็นปรกติปฏิบัติตนตามสมควรแก่อายุ ใครๆก็ติฉินนินทาไม่ได้ คนมีศีลจะอยู่จะกินก็มีสุข ส่วนคนมีความทุกข์จะลุกจะนั่งก็ลำบาก คนมีศีลย่อมงามตลอดกาลโดยไม่ต้องคำนึงถึงวัย
          คำว่า “ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ และ“ปัญญาเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย” ขอยกไปอธิบายในครั้งต่อๆไป วันนี้ตั้งหัวข้อเรื่องว่า “บุญอันโจรนำไปได้ยาก” ขออรรถาธิบายดังต่อไปนี้
         คำว่า “บุญ” ได้แก่บุญเจตนา(เจตนาอันเป็นบุญ) เพราะว่าเจตนานั้นถึงความเป็นภาวะมิใช่รูปอันใคร ๆ ไม่อาจเพื่อนำไปได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายบรรดามีอาจถูกลักขโมยได้ คนมีทรัพย์มากก็ย่อมต้องหาทางป้องกันรักษาทรัพย์นั่นไว้ไม่ให้โจรขโมยไปได้ แต่การขโมยบุญเป็นเรื่องที่กระทำได้ยาก เพราะบุญเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ภายใน

 


          คำว่าบุญตามภาษาบาลีแปลว่า “ความผ่องแผ้วแห่งดวงจิต ความสะอาด ความสุข ความดี” มีโจรคนใดที่คิดจะขโมยความผ่องแผ้วแห่งดวงจิตของคนอื่นได้บ้าง หรือใครบ้างที่เคยได้ยินข่าวว่าโจรปล้นความสุขหรือปล้นความดีของคนอื่นไปได้ แต่การที่คนจะมีบุญได้นั้นจึงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล บุญไม่ใช่สิ่งของที่จะมอบให้ใคนเหมือนสมบัติอื่นๆ
          ผู้ที่เป็นปุญญเขตต์หรือเนื้อนาบุญที่สมบูรณ์พร้อมหายาก หากปรากฎให้เห็นผู้คนจะแย่งกันทำบุญได้ บางครั้งก็ต้องใช้วิธีลวงให้หลง เพื่อจะได้มีโอกาสทำความดีก่อนคนอื่น ดังมีเรื่องเล่าว่า“ครั้งหนึ่งพระมาหกัสสปะออกจากนิโรธสมาบัติเดินบิณฑบาตตามตรอกในเมืองราชคฤห์ โดยตั้งใจว่าจะอนุเคราะห์แก่คนเข็ญใจ วันนั้นท้าวสักกะเทวราชทราบข่าวว่าพระเถระพึ่งออกจากสมาบัติจึงปลอมตัวเป็นคนเข็ญใจถวายบิณฑิบาตแก่พระมหากัสสปะพอพระเถระรับบิณฑบาตนั้นกลิ่นอาหารทิพย์หอมตลบอวบอวลไปทั่วเมือง เมื่อพระเถระพิจารณาจึงทราบว่าท้าวสักกะเทวราชได้แย่งสมบัติของคนเข็ญใจดังที่มีปรากฎในอรรถกถา ขุททกนิกายชาดกว่า “ในกาลนั้น พระมหากัสสปเถระคิดว่า ชายนี้มีศักดิ์น้อยแต่บิณฑบาตมีศักดิ์มากเช่นกับโภชนะของท้าวสักกะนั่นใครกันหนอ ครั้งนั้นพระเถระเมื่อพิจารณาจึงทราบว่าชายคนนั้นคือท้าวสักกะจึงกล่าวว่า “พระองค์ทรงแย่งสมบัติของคนเข็ญใจ  จัดว่าทำกรรมหนักแล้ว ใคร ๆ ก็ตามที่เป็นคนเข็ญใจ ถวายทานแก่อาตมภาพในวันนี้พึงได้ตำแหน่งเสนาบดี  หรือตำแหน่งเศรษฐี”
          ท้าวสักกะตอบว่า “ผู้ที่เข็ญใจไปกว่ากระผมไม่มีเลยขอรับ”
          พระเถระถามว่า “พระองค์เสวยสิริราชสมบัติในเทวโลกจะจัดว่าเป็นคนเข็ญใจเพราะเหตุไร”

 

 

          ท้าวสักกะจึงตอบว่า “อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าว่าก็ถูกละขอรับ แต่เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังมิทรงอุบัตินั้น กระผมได้ทำกัลยาณกรรม(กรรมดี)ไว้ เมื่อพุทธุปบาทกาลยังเป็นไปอยู่เทพบุตรผู้มีศักดิ์เสมอกันสามองค์คือจูฬรถเทพบุตร มหารถเทพบุตร อเนกวัณณเทพบุตรทำกัลยาณกรรมแล้วได้เกิดในที่ใกล้ของกระผมมีเดชมากกว่ากระผม เมื่อเทพบุตรทั้งสามนั้นพาพวกบริจาริกาลงสู่ระหว่างถนนเพื่อเล่นนักขัตฤกษ์ กระผมต้องต้องหนีเข้าตำหนักเพราะเดชจากสรีระของเทพบุตรทั้งสามนั้นเหนือกว่าและท่วมทับสรีระของกระผม ใครจะเข็ญใจกว่ากระผมเล่าขอรับ”
          ทุกข์ของคนมีอำนาจนั้น เมื่อใดก็ตามที่มีคนมีฤทธิ์เดชเหนือกว่าก็ย่อมเป็นทุกข์พวกเทวดาเขาวัดกันด้วยบุญญาบารมี เมื่อผู้มีศักดิ์ใหญ่กว่าเหนือกว่าผ่านมา ผู้มีเดชศักดาน้อยก็ต้องหลบ พระอินทร์ได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในสวรรค์ แต่เมื่อมีผู้มีบุญมากกว่ามาอยู่ใกล้ก็พลันถูกรัศมีของเทพบุตาเหล่านั้นบดบัง เลยกลายเป็นเหมือนผู้มีทุกข์
          พระเถระจึงบอกว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปพระองค์อย่าได้ลวงถวายทานแก่อาตมภาพอย่างนี้อีกเลย”
          ท้าวสักกะเทวราชสงสัยจึงถามว่า “เมื่อกระผมลวงถวายทานแก่ท่าน กุศลจะมีแก่กระผมหรือไม่มี”
          พระเถระตอบว่า  “มีสิ พระองค์จะมีอานุภาพเหนือกว่าเทพบุตรทั้งสามนั้น”
          คนที่มีใจใฝ่บุญบางครั้งถึงกลับต้องลวงเพื่อที่จะได้ถวายทาน เพราะหากท้าวสักกะมาในเพศของเทวดา พระมหากัสสปะก็จะไม่รับบิณฑบาตนั้น เพราะพระเถระตั้งใจว่าจะให้การสงเคราะห์แก่คนเข็ญใจเท่านั้น ท้าวสักกะเทวราชหรือที่นิยมเรียกว่าพระอินทร์จึงต้องปลอมตัวเป็นคนเข็ญใจ แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการขโมยบุญ แต่ก็เป็นการหลอกลวงเพื่อที่จะได้ทำบุญ

 

 

          ส่วนคนที่ไม่เคยทำบุญ แม้ว่ากำลังทำบุญอยู่แท้ๆก็ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำบุญ มีเรื่องเล่ากันว่า “ครั้งหนึ่งมีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินทางจาริกไปตามที่ต่างๆ เย็นวันหนึ่งมาถึงฝั่งแม่น้ำต้องการจะข้ามน้ำไปยังอารามที่อยู่ตรงข้ามอีกฟากฝั่งของแม่น้ำ เรือข้ามฟากก็ไม่มีแต่พลันก็หันไปพบกับคนหาปลาคนหนึ่งกำลังแจวเรือเข้ามาใกล้จึงเอ่ยปากขอข้ามไปฝั่งโน้น คนหาปลาคนนั้นบอกว่าต้องเสียเงินค่าจ้างจึงจะพาไป พระธุดงค์บอกว่าอาตมาไม่มีเงินเลย หากโยมพาอาตมาข้ามไปฝั่งโน้นได้ อาตมาจะให้บุญแทน คนหาปลาจึงพาพระรูปนั้นข้ามแม่น้ำไปได้อย่างปลอดภัย พอถึงฝั่งพระก็จะให้พรแทนค่าจ้าง แต่คนหาปลาบอกว่าก็ท่านสัญญาไว้แล้วว่าจะให้บุญก็ต้องให้บุญสิครับ เพราะบุญที่คนหาปลาคนนั้นเข้าใจคือวัตถุสิ่งของซึ่งตนก็ไม่เคยเห็น ส่วนบุญที่พระธุดงค์เข้าใจคือความสุขความดีที่อยู่ภายในเป็นนามธรรมไม่ใช่วัตถุที่จะจับต้องได้
          เมื่อความเข้าใจต่างกันจึงตกลงกันไม่ได้ พระธุดงค์รูปนั้นคิดอะไรไม่ออกพลางเอามือขยี้จมูก บังเอิญขี้มูกที่พึ่งแห้งติดมือมาพอดี พระจึงทำทีล้วงลงไปในย่ามและนำเอาก้อนขี้มูกที่เป็นก้อนขนาดเล็กๆติดมือมาด้วย พลางบอกว่าคนหาปลาคนนั้นไปว่า “เอ้า....ถ้าโยมอยากได้บุญก็เอาก้อนนี่ไป” คนหาปลายกมือไหว้และแจวเรือหายลับไปในลำน้ำ ส่วนพระธุดงค์ก็มุ่งหน้าเข้าวัดเพื่อหาที่พักผ่อนในคืนนั้น

 

 

          คนหาปลาเมื่อได้ก้อนบุญมาแล้วเกรงว่าจะทำหล่นหาย เพราะมีขนาดไม่ใหญ่นักเล็กๆขนาดยาอม จะเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อก็เกรงว่าจะถูกน้ำละลายเสียหายไปก่อน ในที่สุดจึงคิดวิธีที่ดีที่สุดคือกลืนกินชะเลย จะได้ลิ้มรสชาติแห่งบุญซะที เมื่อก้อนบุญถึงปลายลิ้น คนหาปลาก็เปล่งอุทานอย่างอิ่มบุญว่า “อ๋อ....บุญนี้มีรสปะแล่มๆออกเค็มนิดหน่อย” ก่อนที่จะทำงานตามอาชีพต่อไป  คนที่ไม่รู้จักบุญย่อมเข้าใจสาระในบุญได้ยากด้วยประการฉะนี้

 

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
05/09/54

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก