ฝนตกติดต่อกันมาหลายวันแล้ว รุ่งเช้าวันที่ 12 สิงหาคม 2554 ฝนยังคงตกต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางดึก ตีห้าได้เวลาออกเดินทางโดยมีจุดหมายที่มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เดินผ่านกุฏิหลวงตาบัญชาคิดว่าจะแวะทักทายหลวงตาก่อนออกเดินทาง ซึ่งตามปกติหลวงจะตื่นแต่เช้าเปิดไฟสว่างไสว นั่งดื่มน้ำชา เปิดวิทยุฟังข่าวภายในกุฏิก่อนจะออกบิณฑบาตในตอนเช้า แต่เช้าวันนั้นฝนตกมองไม่เห็นแสงไฟกุฏิจึงดูเงียบผิดปกติ จึงไม่ได้แวะทักทาย และไม่มีโอกาสได้พบปะสนทนากับหลวงตาอีกเลย เพราะเมื่อกลับถึงวัดเวลาก็ล่วงเลยจนมืดค่ำแล้ว
ในช่วงการเดินทางฝนตกรถวิ่งเร็วก็ไม่ได้ แต่งานที่รออยู่ข้างหน้าที่มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัยกำหนดไว้เวลาประมาณเก้านาฬิกา รถยนต์ยังวิ่งฝ่าสายฝนไปเรื่อยๆ คนขับค่อยๆประคองรถให้อยู่ในเส้นทางแม้ว่าบางครั้งจะมีอุบัติเหตุรถชนกันตามเส้นทางให้เห็นตลอดเส้นทาง จึงบอกคนขับว่าไปสายดีกว่าไปไม่ถึง ลดความเร็วหน่อยก็ได้ บางครั้งรีบร้อนเกินไปอาจไม่มีโอกาสไปถึงจุดหมาย
ในขณะที่อยู่บนรถแม้จะง่วงก็ไม่ยอมหลับพยายามนั่งคุยกับคนขับไปตลอดทางเพราะเกิดกลัวตายขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งๆที่ทุกวันก่อนหลับก็เฝ้าเพียรพยายามคิดถึงความตายทุกวันอยู่แล้ว พิจารณาทุกวัน “ทุกคนมีความตายเป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความตายไปได้” การเดินทางในท่ามกลางสายฝนในครั้งนี้ช่วงน่ากลัวจริงๆ จู่ๆก็พลันเกิดคำถามขึ้นมาในบัดดลนั้นว่า หากรู้ตัวว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งวันจะทำอะไรก่อน
คำตอบกลับไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะผุดขึ้นมามากมาย จนไม่รู้จะทำอะไรก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการเลิกคิดแล้วคือรีบทำสมาธิเพื่อที่จะทำให้ดวงวิญญาณได้พักผ่อน ส่วนเมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้วจะไปไหนนั้นปล่อยมันไป ความตายก็เหมือนกับย้ายบ้าน บ้านที่เราเคยอาศัยมาตั้งแต่เด็กปัจจุบันก็ไม่เหลือแล้ว กลายเป็นสมบัติของใครก็ไม่รู้ ไร่นาที่เคยทำสมัยเป็นเด็กก็ถูกเปลี่ยนเจ้าของไปหลายคนแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายต่างก็ไม่ใช่ของเราจริงๆสักอย่าง พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นสมบัติของคนอื่นได้ทุกเมื่อ
สมบัติทั้งหลายที่เราใช้สอยเป็นเหมือนของยืมพอถึงเวลาก็จะย้อนกลับคืนสู่เจ้าของที่แท้จริงคือธาตุทั้งสี่คือดิน น้ำ ลม ไฟ ร่างกายของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อเราใช้งานได้สักพักหนึ่งก็ย่อมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาถึงเวลาที่จะต้องคืนสู่ความเป็นธรรมดาคือธาตุสี่เหมือนกัน สิ่งที่มีลักษณะแข็งเช่นเนื้อ เอ็น กระดูกจะกลายเป็นดิน สิ่งที่เป็นของเหลวเช่นเลือด น้ำเหลือง น้ำมูก น้ำลายก็จะกลายเป็นน้ำ สิ่งที่ให้ความอบอุ่นที่มีลักษณะร้อนเช่นความร้อนที่เผาผลาญร่างกายก็จะหมดสภาพไปเหมือนไฟที่หมดเชื้อย่อมมอดดับ ส่วนลักษณะที่ไหลเวียนในร่างกายคือลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็จะหมดสภาพหยุดการไหลเวียนเปลี่ยนสภาพสลายหายไปกับสุญญากาศ
พลันก็คิดถึงคาถาในขุททกนิกาย ธรรมบท (25/21/24) ในตอนที่นางสิริมาหญิงโสเภณีซึ่งในขณะที่ยังมีชีวิตหากใครอยากอยู่ร่วมกับนางต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลนัยว่าหนึ่งพันกหาปณะ หากนับเป็นสมัยปัจจุบันน่าจะมีราคาหลายแสนบาท ราคาค่าตัวหญิงโสเภณีในยุคนั้นแพงเอาการ ต่อมานางเสียชีวิตด้วยโรคบางอย่างแต่ความงามยังไม่จืดจางลง จนกระทั่งมีพระภิกษุรูปหนึ่งไปบิณฑิบาตได้เห็นหน้านางสิริมาเพียงแวบเดียวก็เก็บมาคิดปรุงแต่งอยากได้นางมาครอบครอง ข้าวปลาอาหารไม่ยอมฉันปล่อยให้เน่าในบาตรนั่นเอง พระที่ยังมีกิเลสหากปรุงแต่งมากไปย่อมจะต้องเป็นเหมือนกับภิกษุหนุ่มรูปนี้เหมือนกัน แต่ยุคนั้นมีพระพุทธเจ้าเป็นครูสอนชั้นเลิศ
พระพุทธเจ้าสั่งให้พระเจ้าปเสนทิโกศลนำศพไปไว้ที่ป่าช่าให้ทหารรักษาไว้ ยังไม่ให้ทำพิธีฌาปนกิจ จนกระทั่งสามวันผ่านไป จึงได้ประชุมพระสงฆ์และชาวบ้านเพื่อร่วมพิธีเผาศพนางสิริมา แต่ก่อนเผาได้รับสั่งให้พระเจ้าปเสนทิโกศลตีราคาศพนางสิริมาว่าถ้าใครอยากได้ให้นำไปได้เลย เริ่มต้นจากหนึ่งพัน เมื่อไม่มีใครเอาร่างไร้วิญญาณของนาสิริมาเลยสักคน จากนั้นจึงให้ลดราคาลงเรื่อยๆ 500 250 100 50 25 10 1 กหาปณะ ก็ยังไม่มีใครอยากได้ จนกระทั่งประกาศให้ฟรีๆก็ไม่มีใครเอา
พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมโดยตรัสเป็นพระคาถาความว่า “ท่านจงดูอัตภาพอันบุญกรรมทำให้วิจิตรแล้ว มีกายเป็นแผล อันกระดูกสามร้อยท่อนปรุงขึ้นแล้ว กระสับกระส่าย อันมหาชนดำริกันโดยมาก”
ในขณะนั้นพระภิกษุหนุ่มนั่งอยู่ในสมาคมนั้นด้วยเกิดความสังเวชพิจารณาตามจนบรรลุพระโสดาบัน
ยังมีคาถาต่อไปอีกว่า “อัตภาพนี้ไม่มีความยั่งยืนมั่นคง รูปนี้คร่ำคร่าแล้ว เป็นรังแห่งโรคผุพัง กายของตนอันเปื่อยเน่าจะแตกเพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด”
ในการเดินทางวันนั้นจึงนั่งนิ่งบนรถยนต์พิจารณาอัตภาพร่างกายไปพลางๆ ปล่อยให้คนขับทำหน้าที่ไปตามปกติ เขาจะพาไปไหนก็ไม่ได้สนใจเพราะจุดหมายปลายทางอยู่ที่มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา พิธีเปิดโครงการสอนพระพุทธศาสนาแก่เยาวชนในช่วงวันแม่แห่งชาติรออยู่
ในบัดดลนั้นเกิดคิดถึงคำพูดของหลวงตาบัญชาขึ้นมาดื้อๆ หลวงตาบวชตอนแก่ผ่านชีวิตฆราวาสมามาก หลวงตาบอกว่าผมพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ ผมพิจารณาความตายทุกเวลา หากไม่มียาขยายหลอดเลือดก็คงหมดลมหายใจ พูดจบก็ยกหลอดยาขึ้นฉีดลมเข้าปากและค่อยๆหายใจสะดวกขึ้น มีแรงสนทนาต่อ
ผู้เขียนมักจะพูดหยอกล้อเรื่องความตายกับหลวตาบัญชาเสมอ บางครั้งก็พูดแรงๆ บางครั้งก็พูดเล่นๆ ได้คุยกับคนมีประสบการณ์ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนรู้สึกได้ความรู้เพิ่มเติมมากมาย หลวงตาบัญชาบวชตอนอายุใกล้หกสิบแล้วบวชได้เพียงสองพรรษา ฉันเองก็ชอบไปนั่งฟังหลวงตาเล่าประวัติเมื่อครั้งที่ยังเป็นฆราวาสให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องกล้องและการถ่ายภาพ หลวงตามีความชำนาญมากเลยกลายเป็นครูสอนถ่ายภาพไปโดยปริยาย ในอดีตหลวงตาเล่าให้ฟังว่าเคยเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งต้องแบกกล้องออกถ่ายภาพเพื่อทำข่าวให้ได้ “สมัยนั้นใช้กล้องฟิล์มต้องถ่ายให้ได้มากที่สุดและเลือกภาพที่ดีที่สุดเพื่อลงหนังสือพิมพ์ แต่ปัจจุบันนี้ดูเหมือนจะง่ายกว่ามาก เพราะถ่ายเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร สมัยก่อนต้องใช้ฝีมือมากกว่า เพราะทุกครั้งที่กดชัดเตอร์หมายถึงหนึ่งภาพที่จะต้องให้ทันเหตุการณ์ด้วย หากสติไม่ดีช้าไปเพียงก้าวเดียวภาพสำคัญก็พลันหายวับไปกับตา”
ยังบอกให้หลวงตาบันทึกอัตชีวประวัติไว้ หากมรณภาพลงวันใดวันหนึ่ง คนรุ่นหลังจะได้อ่าน หลวงตารับปากแต่ยังไม่เคยเห็นบันทึกของหลวงตาเลยสักครั้ง บางคนชอบพูดแต่ไม่ชอบเขียน กลับจากจังหวัดนครราชสีมาเวลาประมาณหนึ่งทุ่มตั้งใจว่าจะแวะไปทักทายหลวงตาสักหน่อยและถามเรื่องการถ่ายภาพบางอย่างที่ถ่ายออกมาแล้วไม่ได้อย่างที่ใจคิดเป็นเพราะสาเหตุอะไร แต่ไม่คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าหลวงตาอีกเลย
หลวงตามรณะภาพด้วยโรคหัวใจล้มเหลว นอนหลับสนิทในรุ่งเช้าวันนั้นนั่นเอง ณ ที่กุฏิพักโดยไม่มีโอกาสได้บอกลาใคร ไปไม่ลา มาไม่บอกกันเลย ชีวิตคนนั้นคาดหวังอะไรล่วงหน้าไม่ค่อยได้ อาจสิ้นลมทอดร่างวางขันธ์ในเวลาใดก็ได้
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
17/08/54