แม่ที่มีลูกย่อมหวังความเจริญก้าวหน้าสำหรับลูก หากได้ลูกที่เป็นคนดีย่อมเป็นความปรารถนาสูงสุดอย่างหนึ่ง ยิ่งหากแม่คนใดได้ลูกที่เป็นทั้งคนดีมีหน้ามีตาในสังคมยิ่งจะมีความสุขเป็นสองเท่า แต่แม่คนใดที่มีลูกที่คอยล้างผลาญจนไม่เหลือสมบัติอะไรเลยนับเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ลูกที่พ่อแม่เสียชีวิตนิยมเรียกว่าลูกกำพร้า แต่หากแม่ที่ลูกเสียชีวิตน่าจะเรียกว่าแม่กำพร้าลูก
คำว่า “แม่กำพร้าลูก” ที่นำมาใช้เป็นชื่อเรื่องในวันนี้ ได้มาจากการสนทนากับยายชราคนหนึ่งที่เคยมีลูกแต่ยายคิดว่าน่าจะเสียชีวิตหมดแล้ว ปล่อยให้แม่เป็นกำพร้าอยู่คนเดียวขาดคนเหลียวแลมาหลายปี ยายคนที่เป็นต้นเรื่องขอสงวนชื่อและที่อยู่ ยายอายุเกินเจ็ดสิบแล้วแต่ยังคงทำงานทุกวัน ยายเข็นรถเก่าๆคันหนึ่งเที่ยวเก็บของเหลือต่างๆจากกองขยะเช่นขวดน้ำเปล่า หนังสือพิมพ์ หรือสิ่งของอื่นๆที่คนใช้แล้วทิ้งกองขยะ สิ่งเหล่านี้แม้จะเป็นสิ่งของที่ไร้ค่าสำหรับคนอื่น แต่สำหรับยายแล้วมันคือสิ่งที่มีราคา เป็นสินค้าที่นำไปขายได้ และเงินที่ได้ทุกบาททุกสตางค์คือลมหายใจของยาย ชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ยายยังคงเดินนำหน้ารถเข็นด้วยหลังที่งองุ้ม แทนที่จะเข็นรถไปข้างหน้าเหมือนคนอื่นๆ ยายใช้วิธีลากรถเก่าๆที่บรรจุวัสดุเท่าที่จะขายได้ไปช้าๆตามริมถนนและวัดต่างๆ
เห็นยายมานานนับปีแล้วและบรรดาพระภิกษุสามเณรต่างก็ไม่ได้รังเกียจยายเลย พอเห็นยายลากรถเข็นผ่านหน้ากุฏิก็มักจะนำวัสดุที่จะขายได้มาให้ยายเสมอ นอกจกากนั้นยังนำอาหารให้ยายด้วย ยายจะกินแค่อิ่มดื่มน้ำแล้วนั่งพักเหนื่อนก่อนจะค่อยๆเคลื่อนกายที่อ่อนล้าพารถเข็นไปทำงานเที่ยวเก็บของมีค่าจากกองขยะไปเรื่อยๆ บางวันตะวันบ่ายคล้อยแล้วเห็นยายเข็นรถกลับด้วยใบหน้าที่เหี่ยวย่น แกยกมือไหว้และส่งรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่สามารถได้สินค้าอันแปรสภาพเป็นเงินตราได้
วันนั้นฝนตกหนักเห็นยายนั่งรถฝนใต้ศาลาที่พักข้างๆกุฏิจึงเดินเข้าไปทัก หลังจากหาอาหารและน้ำดื่มให้ยายแล้ว แม้จะยกเกาอี้ให้นั่งยายก็ไม่ยอมยังคงนั่งกับพื้นปูนพนมไหว้ด้วยความเคารพ วันนั้ได้สนทนากับยายท่ามกลางฝนที่สาดกระหน่ำมาอย่างหนัก
ยายปรารภให้ฟังว่า“วันนี้คงไม่ได้อะไร เพราะฝนตก”
จึงเอ่ยถามว่า “ตามปรกติขายได้วันละกี่บาท”
“ก็แล้วแต่ ยายไม่ได้ขายทุกวัน เก็บสะสมไว้สามสี่วันถึงขายครั้งหนึ่ง ได้ครั้งละประมาณร้อยสองร้อยบาท”
“ยายพักอยู่กับใคร”
“อยู่คนเดียว เจ้าของบ้าน เขาเมตตามอบสวนข้างบ้านให้เป็นที่พักพอกันแดดและฝนได้”
“ลูกหลานไม่มีหรือ หายไปไหนหมด”
พอถามถึงลูกหลาน ยายเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเหมือนมีหยดน้ำตา เจือด้วยน้ำฝน ยายยกแขนเสื้อที่เก่าเต็มทีขึ้นเช็ดหน้า ก่อนจะบอกว่า “ยายไม่อยากพูดถึงเขา ตอนนี้ยายอยู่คนเดียว”
“ยายไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ต้องขออภัยด้วยที่ถามเรื่องนี้ อาตมาเห็นยายมานานแล้วยังไม่เคยถามถึงเรื่องส่วนตัวเลย แต่วันนี้ใกล้วันแม่แล้วเลยอยากรู้”
ยายเงยหน้าขึ้นมองหยดน้ำตายังคลอเบ้า ถ้าอยากรู้ยายจะเล่าให้ฟัง จากนั้นก็เริ่มต้นเรื่องของยายช้าๆในขณะที่ฝนเริ่มเบาบางลง “ยายเป็นคนต่างจังหวัดมีอาชีพทำสวน มีลูกชายหนึ่งคน มีลูกสาวอีกหนึ่งคน สามีเสียชีวิตก่อนที่ลูกทั้งสองจะโต ยายไม่มีปัญญาส่งลูกเรียนต่อ จึงทำสวนผลไม้พอประทังชีวิตไปวันๆเท่านั้น หากปีไหนผลไม้มีราคาก็พออยู่ได้ แต่ถ้าปีใดราคาพืชผลตกต่ำก็ต้องทนอยู่ให้ได้ ต่อมาไม่นานลูกสาวเสียชีวิตเพราะโรคเอดส์ จึงเหลือแต่ลูกชายคนเดียวซึ่งก็พึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ มันติดการพนันอย่างหนักค่อยๆขายทรัพย์สมบัติในบ้านจนไม่มีอะไรเหลือ ในที่สุดก็นำบ้านและที่ดินไปจำนอง นำเงินที่ได้มาเล่นการพนันจนหมด กว่าที่จะรู้ตัวว่าบ้านและสวนไม่ใช่สมบัติของตนอีกต่อไปก็เมื่อเจ้าของใหม่เขามาบอกให้ย้ายออก พร้อมทั้งนำโฉนดและสัญญาซื้อขายมาแสดง ยายไม่ได้เรียนไม่มีความรู้จึงสู้เขาไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องย้ายออกจากบ้านที่เคยเป็นสมบัติของตัวเอง”
ยายหยุดดื่มน้ำไปครึ่งขวดถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า จากนั้นเหมือนกับว่ากำลังนึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาและเล่าต่อโดยไม่ต้องถามว่า “ยายเที่ยวหางานทำเป็นแม่บ้าน เป็นคนรับใช้ เป็นต้น ลูกชายถูกจับเข้าคุกข้อหาลักทรัพย์ มันเข้าๆออกคุกเป็นว่าเล่น อยู่ในคุกไม่นานก็ออกมาก่อคดีอีก ยายก็ป่วยทำงานอะไรไม่ได้ หวังพึ่งลูกชาย ก็ไม่ได้ วันหนึ่งลูกชายแสดงน้ำใจของลูกพาแม่ไปฝากไว้ที่บ้านพักคนชรา ตอนนั้นยายอายุเกินหกสิบปีแล้ว จากวันนั้นมาลูกชายก็ไม่เคยกลับไปเยี่ยมอีกเลย แกคงเป็นบ้าไปแล้วหรือไม่ก็คงตายไปนานแล้ว ยายเลยกลายเป็นแม่ที่กำพร้าลูกมาจนถึงทุกวันนี้ ที่บ้านพักคนชรายายอยู่ได้ไม่นานก็หลบหนีออกมาเผชิญโชคชะตารอวันตายด้วยตนเอง”
กลับบ้านเก่าเห็นบ้านและสวนตัวเองกลายเป็นบ้านหลังใหม่แล้วทำใจไม่ได้ จึงเข้ามากรุงเทพฯและเริ่มเก็บขยะขายจนกลายเป็นอาชีพในวัยชราอย่างที่เห็นนี่แหละ ชีวิตมีความสุขดีเป็นอาชีพอิสระไม่ต้องทำบาปทำกรรมอะไร ชีวิตคนมีขึ้นมีลง วันที่รุ่งโรจน์มีแต่คนอยากเข้าใกล้ แต่ในวันที่อับจนหาคนมองไม่มี ภาษาพระเรียกว่าอะไรนะยายจำไม่ได้”
กำลังฟังยายเล่าประวัติอยู่เพลินๆพอยายหันมาถามจึงต้องย้อนถามว่ายายถามว่าอะไร เมื่อเข้าใจคำถามจึงบอกยายว่า “โลกธรรมคือมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ มีสรรเสริญและนินทา” ซึ่งเป็นไปตามธรรมดาของโลก
ยายว่า “เออนั่นแหละ ยายไปแอบฟังพระเทศน์ที่โบสถ์แทบทุกวันพระ แต่หลบอยู่นอกอุโบสถไม่กล้าเข้าไปร่วมฟังกับเขา แต่ยายจำได้นะ” ยายหัวเราะออกมาเหมือนกลับสู่โลกแห่งความจริง
จึงถามยายเล่นๆว่า “ยายการมีลูกกับการไม่มีลูกอย่างไหนดีกว่ากัน”
ยายทำท่าคิดก่อนจะตอบว่า “มีลูกประพฤติชั่ว ไม่มีเลยดีกว่า แต่ถ้ามีลูกแล้วเป็นคนดี มีลูกดีกว่า”
จึงบอกยายว่าตอบแบบนักปราชญ์เลยนะยาย
ยายตอบว่า “ก็จำมาจากที่พระเทศน์”
ฝนขาดเม็ดไปนานแล้ว ยายเริ่มขยับแข้งขา สายตาเหม่อมองออกไปสุดขอบฟ้าที่ยังคลื้มด้วยเมฆหมอกหลังฝน ก่อนจะเอ่ยปากลาและเดินนำหน้าลากรถเข็นคู่ชีพที่มีขวดน้ำเปล่าสี่ห้าใบมุ่งหน้าสู่จุดหมายคือกองขยะกองต่อไป ด้วยความหวังว่าวันนี้คงโชคดีได้สิ่งของที่ขายได้ นั่นหมายถึงเงินที่จะต่อชีวิตของยายชรากำพร้าลูกต่อไปอีกวัน
ก่อนจากกันวันนั้นได้มอบเงินให้ยาย 100 บาท ก่อนจะบอกว่า “ยายอย่าปฏิเสธ อาตมาให้เป็นค่าให้สัมภาษณ์และค่าเสียเวลาที่ยายทำงานไม่ได้ และขออนุญาตนำเรื่องไปเผยแผ่”
ยายหันมายิ้มก่อนจะบอกสั้นๆว่า “เนื้อเรื่องแล้วแต่ยายอนุญาต แต่ขอความกรุณาอย่านำภาพยายไปเผยแผ่ที่ไหน ยายกลัวว่าจะมีคนจำได้ โดยเฉพาะบ้านพักคนชรา ยายไม่อยากกลับไปอีก”
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/08/54
ภาพประกอบ: คนยากจนที่เมืองราชคฤห์ อินเดีย