คนงานก่อสร้างคนหนึ่งบอกว่าผมอยากทำบุญถวายสังฆทาน หลวงพ่อช่วยรับให้ผมหน่อยครับ ห่อสังฆทานของคนงานท่านนั้นเป็นเพียงขนมปังสองสามก้อนเท่านั้น จึงบอกว่าถวายอาหารธรรมดาก็ได้ไม่ต้องถวายเป็นสังฆทานหรอก จากนั้นจึงรับขนมปังจากคนงานก่อสร้างท่านนั้นมา พอเห็นขนมปังในใจกลับคิดไปถึงเจ้าด่างแมวประหลาดผู้ชอบกินขนมปังเป็นชีวิตจิตใจตัวนั้น ซึ่งหายหน้าไปหลายวันแล้ว คนงานท่านนั้นบอกว่าผมขออุทิศส่วนกุศลให้กับแมวตัวหนึ่ง
ตามปรกติเจ้าด่างมันจะมานั่งรอและร้องหน้าห้อง มันมักจะมาเวลาที่มีความหิว ส่วนมากก็จะเป็นเวลาก่อนเที่ยง ถ้าเลยเที่ยงวันวันไปแล้วจะเงียบหายไป แมวตัวนี้มาอยู่ด้วยตั้งแต่ตัวเล็กๆ แม่มันมีลูกสามตัวตกลูกหน้าห้อง วันหนึ่งตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็เห็นแมวตัวหนึ่งนอนหลบอยู่ใต้โต๊ะพร้อมทั้งมีลูกตัวเล็กๆอีกสามตัว จะพาหนีไปที่อื่นก็เกิดสงสารจึงปล่อยให้อยู่อย่างนั้น ให้อาหารมันกินตามมีตามเกิด จนแมวที่นี่กินขนมปังได้ เป็นแมวที่ชอบขนมปังโดยเฉพาะเจ้าด่างบางวันยังได้กินฟิชซ่าซึ่งเป็นอาหารที่มันชอบมากที่สุด นอกจากชอบกินขนมปังแล้วมันยังชอบนอนบนหน้าตักพระประธานเป็นประจำ ต่อมาเมื่อลูกๆโตขึ้น ก็พลอยชอบกินขนมปังเหมือนแม่ไปด้วย หลายคนมาเห็นต่างก็บอกว่าแมวพวกนี้คงเป็นฝรั่งกลับชาติมาเกิดเลยชอบกินขนมปัง
เคยไล่มันหนีหลายครั้งแต่มันก็ไม่ยอมไปไหน แต่มันมองหน้าด้วยสายตาที่เหงาหงอย อดสงสารมันไม่ได้ทุกที คิดดูอีกทีมันก็มีสิทธิที่จะอยู่ในกุฏินี้เหมือนกันแมวและพระมีสิทธิเท่ากัน เจ้าด่างจึงกลายเป็นเจ้าของกุฏิไปโดยปริยาย บางครั้งมันยังพาพวกเพื่อนแมวมาวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานแถมยังถ่ายอุจจาระไว้ให้พระดูต่างหน้าอีกต่างหาก หากเดินทางไกลไปต่างจังหวัด แมวเหล่านี้ก็จะหากินกันเอง จนกระทั่งแมวทั้งสี่ตัวโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันทุกตัวแล้ว และค่อยๆหนีหายไปอยู่ที่อื่นหรือมีคนนำไปเลี้ยง ในที่สุดเหลืออยู่ตัวเดียว ตั้งชื่อว่าเจ้าด่างมันเป็นแมวสามสีที่ดื้อรั้นแต่น่ารัก มันหากินของมันเอง นอกจากจะหากินที่ไหนไม่ได้แล้วก็จะมานอนเฝ้าหน้ากุฏิ เปิดประตูออกมาเมื่อไหร่ก็จะต้องพบเจ้าด่างจนได้ แต่พอได้กินขนมปังอาหารโปรดก็จะวิ่งหายไป มันปฏิบัติตนอย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว หลวงปู่ชา สุภัทโทบอกว่า กิเลสก็เหมือนแมว หากให้อาหารมันกินมันก็จะมาคลอเคลียอยู่กับเราไม่ยอมห่าง แต่หากไม่ให้อาหารมันกินก็รู้สึกสงสาร เหมือนกิเลสที่อยู่ภายในจิตใจเรานั่นแหละเราก็ต้องลี้ยงมันด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ คนเลี้ยงแมวเหมือนเลี้ยงกิเลสนั่นเอง ไม่ให้มันกินมันก็จะร้อง แต่พอเลี้ยงมันมันจะคลอเคลียไม่ยอมห่าง
แต่พักหลังๆไม่ค่อยได้เห็นหน้าเจ้าด่างมันมักจะไปอยู่กับพวกคนงานก่อสร้างนานๆจึงจะแวะมาหาได้ขนมปังที่มันชอบแล้วก็เดินจากไป พักหลังๆดูเหมือนมันไม่ค่อยอยากพบหน้ายังไงไม่รู้ ก็เลี้ยงกันมาจนโตไม่รู้จะมาเกลียดกันทำไม อีกอย่างผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยได้อยู่กุฏิมากนักต้องเดินทางไปทำงานนอกวัดอยู่แทบทุกวัน จะกลับมาก็ตอนเย็นๆแล้ว
จู่ๆคนงานท่านนั้นถามขึ้นมาว่า “ผมฟังมาว่าคนโบราณเชื่อกันว่าฆ่าแมวหนึ่งตัวบาปมากเท่ากับฆ่าสามเณรหนึ่งรูป จริงไหมครับ”
จึงบอกว่า “ฆ่าสัตว์นะบาปเหมือนกันหมดเพราะผิดศีลข้อที่หนึ่งคือการฆ่าสัตว์ แต่ผลกรรมที่จะได้รับไม่เท่ากัน ต้องดูองค์ประกอบอื่นๆด้วยเช่นเจตนาในการฆ่าแรงแค่ไหน สัตว์นั้นมีคุณมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น องค์ประกอบของการฆ่าที่จะทำให้มีผลครบองค์ประกอบของปาณาติบาตหรือไม่ซึ่งท่านแสดงไว้ในอรรถกถาพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม 1 ภาค 2 หน้าที่ 385 ความว่า“ที่ชื่อว่า “ปาณะ”โดยโวหารได้แก่สัตว์ โดยปรมัตถ์ได้แก่ชีวิตินทรีย์ จริงอยู่บุคคลผู้ยังชีวิตินทรีย์ให้ตกล่วงไปท่านกล่าวว่ายังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ชีวิตินทรีย์นั้นมีประการดังกล่าวแล้วนั้นแล ปาณาติบาตนั้นคือบุคคลยังประโยคอันเข้าไปตัดเสียซึ่งชีวิตินทรีย์ให้ตั้งขึ้นด้วยเจตนาใด เจตนานั้นชื่อว่า “วธกเจตนา” (เจตนาที่จะฆ่า)ท่านเรียกว่า ปาณาติบาต (เจตนาธรรมเป็นเหตุล้างผลาญชีวิตสัตว์มีปราณ) บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยเจตนาดังกล่าวแล้วพึงเห็นว่า ผู้ล้างผลาญสัตว์มีปราณ” ในที่นี่จึงสรุปได้สามประการคือสัตว์มีชีวิต มีเจตนาในการฆ่า และสัตว์ตายด้วยเจตนานั้น
ส่วนสาเหตุในการฆ่าที่สำคัญมาจากเหตุสามประการคือฆ่าเพราะความโลภเป็นเหตุ ฆ่าเพราะบันดาลโทสะ และฆ่าเพื่อความสนุกสนาน โลกวุ่นวายที่เข่นฆ่ากันมายาวนานส่วนมากมักจะมาจากสาเหตุทั้งสามประการนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ผลกรรมย่อมจะต้องได้รับต่างกันตามเจตนา ส่วนสาเหตุอื่นๆอาจจะมีอยู่บ้างแต่ส่วนมากเป็นการฆ่าโดยไม่เจตนามีผลน้อยกว่าฆ่าทั้งสามประการนั้น
จากนั้นเห็นว่ามีเวลาจึงเล่าเรื่องคนฆ่าแมวคนหนึ่งให้ฟัง “ตาเหลา(นามสมมุติ)อายุหกสิบกว่าปีแล้วมีอาชีพทำไร่ทำนา ตาเหลาเป็นคนอารมณ์ร้อน ใจร้อน โทสะร้าย แต่ทุกคนในครอบครัวเข้าใจดีจึงอยู่ด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหา ถ้าวันใดเห็นตาเหลาอารมณ์ไม่ดีพวกลูกๆหลานๆก็จะพากันหลบหน้า แต่หากวันใดแกอารมณ์ดีก็มักจะมีอะไรมาแจกลูกๆหลานๆเสมอ วันหนึ่งเวลาบ่ายคล้อยแล้วตาเหลากับจากทอดแหได้ปลามาหลายตัว กลับมาถึงบ้านไม่มีใครอยู่บ้านแกจึงก่อไฟและย่างปลาเพื่อเป็นอาหารกลางวัน ปลากำลังส่งกลิ่นหอมน่ารับประทานอย่างยิ่ง ตาเหลาปล่อยปลาย่างไว้บนกองไฟและเดินออกจากครัวไปทำธุระอะไรสักอย่าง คิดว่ากลับมาปลาคงสุกพอดี แมวตัวหนึ่งคงเกิดความหิวเหมือนกันจึงค่อยๆหาโอกาสตอนตาเหลาเผลอ และมันก็ได้โอกาสจึงย่องเข้ามาขโมยปลาย่างหลบหนีไปแอบกินอยู่มุมหนึ่งของบ้าน ตาเหลากลับมาพร้อมด้วยแจ่วบองในมือและข้าวเหนียวตั้งใจว่าจะได้กินปลาย่างที่เอร็ดอร่อย ซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกของวันนี้
เมื่อมองไปที่กองไฟในเตาปลาย่างหายไป แต่ได้ยินเสียงขลุกขลักอยู่ข้างนอก เจ้าแมวขโมยกำลังค่อยๆกินปลาย่างอย่างระมัดระวัง เพราะปลายังร้อนอยู่ ตาเหลาเกิดโทสะแล่นขึ้นจับขั้วหัวใจวิ่งไล่จับแมวตัวนั้นมาจนได้ ด้วยความโมโหแกใช้ไม้ปลายแหลมทิ่มแทงไปยังดวงตาของแมวตัวนั้นจนเลือดสีแดงทะลักไหลออกมาเลอะเต็มตัวจนแมวตาบอดไปข้างหนึ่ง มันร้องด้วยความเจ็ดปวด แต่ตาเหลาก็ไม่ยอมหยุดยังคงทิ้งแทงดวงตาและตามตัวแมวด้วยโทสะ จากนั้นยังจับแมวขึ้นย่างบนกองไฟแทนปลาคงคิดว่าจะกินแมวแทนปลา แมวที่ยังมีชีวิตก็ต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด แต่เมื่อถูกตรึงบนไม้ย่างจึงดิ้นไปไหนไม่ได้ ในที่สุดก็ทนความร้อนไม่ไหวเสียชีวิตบนกองไฟนั่นเองทั้งๆร้องขอเสียชีวิตแล้ว เสียงแมวร้องโหยหวนดังไปไกลเหมือนเสียงครวญของปีศาจ ทุกคนที่ได้ยินต่างก็รับรู้ได้ถึงความสยดสยองของแมวผู้น่าสงสาร
ต่อมาอีกไม่นานตาเหลาไปทำนาตามปรกติวันนั้นเกิดอุบัติเหตุมีกิ่งไม้ทิ่มตาจนแตก กลับมารักษาก็ไม่หายตาเหลาจึงกลายเป็นคนตาบอดข้างหนึ่ง บังเอิญว่าเป็นดวงตาข้างขวาเหมือนกับเจ้าแมวตัวที่แกฆ่าในวันนั้นนั่นเอง ต่อมาอีกไม่นานตาเหลาล้มป่วยลงด้วยโรคอย่างหนึ่งที่ไม่ทราบสาเหตุ แกนอนป่วยด้วยความทุกข์ทรมานนอนทุรนทรายเหมือนกับว่ากำลังถูกย่างอยู่บนกองไฟยังไงยังงั้น เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูเผินๆเหมือนเสียงแมวร้อง แกป่วยด้วยโรคแมวร้องอยู่หลายเดือนในที่สุดก็สิ้นใจตายด้วยการนอนกลิ้งกระเสือกกระสนดิ้นรนเหมือนกับร้อนรนไปทั่วสรรพางค์กายไปทั่วบริเวณบ้าน ไม่มีใครจับตัวแกให้นิ่งสงบได้ อาการเหมือนกับแมวที่แกย่างบนกองไฟตัวนั้นไม่ผิดเพี้ยน ชาวบ้านต่างลงความเห็นว่ากรรมที่ตาเหลาได้รับนั้นคือกรรมที่ฆ่าแมวตัวนั้นนั่นเอง" เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงที่จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน
คนงานท่านนั้นลากลับไปแล้ว แกไม่ได้เล่าให้ฟังว่าเจ้าด่างแมวที่ชอบกินขนมปังตัวนั้นเสียชีวิตอย่างไร แต่เห็นตอนเดินกลับหลังจากถวายขนมปังเสร็จ และได้ฟังเรื่องเล่าของชายชราผู้ฆ่าแมวคนนั้นจบแล้ว แกยกชายเสื้อขึ้นซับน้ำตาพลางถอนสะอื้นเดินออกจากศาลาการเปรียญไปด้วยความเศร้าโศก แต่จะเศร้าเสียใจเพราะเรื่องเล่าหรือเศร้าเพราะแกก็มีประสบการณ์ในการฆ่าแมวมาเหมือนกันก็ไม่รู้ เอาไว้วันหลังจะพยายามให้คนงานท่านนั้นเล่ารายละเอียดการเสียชีวิตของเจ้าด่างแมวผู้ชอบขนมกินปังตัวนั้นให้ฟัง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
11/05/54