งานพระราชทานเพลิงสรีระหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน กำหนดไว้ในวันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2554 ณ เมรุชั่วคราววักป่าบ้านตาด หากนับจากวันมรณภาพเป็นเวลาเพียงเดือนเศษๆเท่านั้น ในวันมรณภาพของหลวงตานั้นสื่อต่างๆส่วนมากจะใช้คำว่า “ละสังขาร”ซึ่งแตกต่างจากที่ใช้เรียกพระสงฆ์รูปอื่นๆซึ่งนิยมเรียกว่า“มรณภาพ”เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์2554 ที่ผ่านมาก็มีข่าว "พระพรหมกวี"พระเถระระดับรองสมเด็จพระราชาคณะมรณภาพ หนังสือพิมพ์ต่างก็ใช้คำว่า “มรณภาพ”ไม่เห็นมีสื่อไหนใช้คำว่า “ละสังขาร”เหมือนกับที่ใช้กับหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโนเลย ทั้งๆที่หากนับตามสมณศักดิ์แล้ว "พระพรหมกวี"เป็นพระเถระระดับรองสมเด็จพระราชาคณะ ในขณะที่ “พระธรรมวิสุทธิมงคล”มีสมณศักดิ์ชั้นธรรม หากได้เลื่อนอีกขั้นจึงจะเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะ เริ่มต้นปีได้ไม่ถึงสองเดือนคณะสงฆ์ไทยก็ต้องสูญเสียพระเถระไปถึงสองรูป
คำว่า “มรณ” เป็นคำนามนปุงสกลิงค์แปลว่า “ความตาย” ใช้กับพระสงฆ์ ในขณะที่คนธรรมดาเรียกว่าตาย สิ้นชีวิต สิ้นใจ ส่วนสมเด็จพระสังฆราชใช้คำว่า “สิ้นพระชนม์”ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตไม่มีคำว่า “ละสังขาร”อยู่เลย หากวิเคราะห์ตามสภาวะที่คนทั่วไปเข้าใจกันก็ต้องบอกว่า คำว่า “ละสังขาร”ใช้เรียกสื่อความหมายไปในทางที่บุคคลนั้น “อาจจะ”เป็นพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีใครยืนยันได้ เพราะถ้าสื่อทั้งหลายมั่นใจว่าหลวงตาเป็นพระอรหันต์ก็ต้องใช้คำว่า “นิพพาน”แสดงว่าแม้แต่สื่อทั้งหลายก็ยังลังเล แต่ลังเลไปในทางที่ค่อนข้างจะเชื่อว่าหลวงตามหาบัวนั้นเป็นพระอรหันต์จริง
ส่วนคำว่า “ปรินิพพาน”นิยมใช้เรียกเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าในพระไตรปิฏกจะใช้เรียกพระเถระบางรูปเหมือนกันดังที่ปรากฎในพักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ (13/387/201)ความว่า “ครั้งนั้นแลท่านพระพักกุละนั่งปรินิพพานแล้วในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ท่านพระกัสสปกล่าวว่า ข้อที่ท่านพระพักกุละนั่งปรินิพพานแล้วในท่ามกลางภิกษุสงฆ์นี้ พวกข้าพเจ้าจะทรงจำไว้ว่าเป็นธรรมไม่น่าเป็นไปได้น่าอัศจรรย์ของท่านพระพักกุละ” ชาวพุทธส่วนมากก็ยังสงวนคำว่า “ปรินิพพาน” ไว้เป็นศัพท์เฉพาะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ส่วนพระสาวกรูปอื่นนิยมใช้คำว่า “นิพพาน”
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโนหรือพระธรรมวิสุทธิมงคลนั้นท่านยืนยันด้วยตัวท่านเองหลายครั้งหลายคนว่าท่านหมดกิเลสแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ดังที่ปรากฎในคำเทศนาของหลวงตาที่เทศน์อบรมพระสงฆ์ ณ วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พุทธศักราช 2552 เวลาประมาณ 17.30 น.เรื่อง “การฆ่ากิเลสได้เสร็จสิ้น” มีข้อความตอนหนึ่งที่หลวงตาบอกว่าหมดกิเลสแล้วความว่า “นี่พูดจริงๆ สุดท้ายล่ะ ได้พูดให้หมู่เพื่อนฟัง ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ในเรื่องที่จะมาเกิดมาตายซ้ำๆซากๆอยู่หมดในหัวใจ เปิดโล่งหมดแล้ว หายสงสัย ไม่มี เรียกว่า “วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ” พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำก็คือการแก้กิเลส ฆ่ากิเลสได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะยิ่งกว่าการแก้กิเลสนี้ไม่มี ถ้าลงถึงที่นี่แล้วสบาย ไม่มีอะไรมาขัดข้องหัวใจ ใจไม่มีอารมณ์กับอะไร อยู่สะดวกสบายไปเลย
นี้ก็เดชะนะได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์ของหมู่ของเพื่อนให้ได้อาศัย เพราะภายในนี้มันเปิดโล่งหมดแล้ว เราหายสงสัยหมด ไม่มีอะไรที่จะติดในหัวใจ โล่งหมดเลย โลกวิทู โลกนอกโลกใน โลกผีโลกคน โลกนรกอเวจีตลอดถึงนิพพานมันแจ้งอยู่ในหัวใจนี้แล้วสบาย ไม่มีอะไรข้องใจ นี่เรียกว่าจิตว่างงาน ถ้าฆ่ากิเลสหมดแล้วจิตก็ว่างงาน ไม่มีงานทำ ไปที่ไหนก็โล่งตลอด ไม่คิดเลยว่าจะมีงานนั้นมาทำงานนี้มาทำไม่มี งานอันนี้เป็นงานโล่งหมดเลย ฆ่ากิเลสให้สิ้นซากไปหมดแล้วโล่ง ไม่มีอะไรเลยละ”
(แหล่งที่มา http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3859&CatID=2)
คำว่าละสังขารก็มีอ้างไว้ในการเทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ 8 เมษายน พุทธศักราช 2551 เรื่อง “สติอยู่กับพุทโธ” มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า “เอาพุทโธมาบังคับ บริกรรมพุทโธๆ ไม่ให้คิด สักเดี๋ยวจิตค่อยสงบลง เป็นระยะสงบลงแล้วถ้าจะพักนอน เอา นอนได้ พอถอนออกมาถ้าจะสงบให้เป็นสมาธิก็เป็นได้ทันที พอถอยออกมาปั๊บนี่ใส่เลยพุ่งๆ เลย มีกำลังวังชาจิตที่ได้พักตัว ถ้าไม่ได้พักไม่ได้ สมาธิเป็นเรือนพักของจิตของสติปัญญา เวลาทำหน้าที่อย่างเผ็ดร้อนต้องเอาสมาธิคือความสงบใจมาบังคับ เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาพุทโธมาบังคับให้อยู่กับพุทโธ จิตก็สงบ ทีนี้จะหลับก็หลับได้ในระยะนั้น ไม่หลับจะปล่อยให้ลงรวมเป็นจิตสงบเลยก็ได้ในระยะนั้น พอถอยจากนั้นแล้วก็ออกทางด้านสติปัญญาพุ่งๆๆ เลย นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบ ขอให้ปฏิบัติจะเป็นอย่างนั้นสดๆ ร้อนๆ ไม่ผิด ถ้าปฏิบัติให้ถูกทางตามศาสดาสอนไว้แล้วจะเป็นอย่างนั้น ถ้าปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้ามันไม่ได้หน้าได้หลังอะไร เอาละ (ถ้าหลวงตาละสังขารพวกเราจะอาศัยใคร)อาศัยเราเอง ก็เรายังไม่ตายเข้าใจไหม ผู้ท่านตายไปแล้วก็ตายไป เรายังไม่ตายเราก็อาศัยสังขารของเรา
(แหล่งที่มา www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4900&CatID=2) ขอเชิญเปิดอ่านหรือฟังเอาเอง
หลวงตาจะหมดกิเลสหรือนิพพานจริงตามที่ท่านพูดไว้หรือไม่ เรื่องนี้คงไม่มีใครกล้ายืนยัน เพราะคนที่สามารถยืนยันว่าใครเป็นพระอรหันต์นั้นก็ต้องมีคุณธรรมในขั้นพระอรหันต์เหมือนกัน พระอรหันต์เท่านั้นจึงจะบอกว่าใครคือพระอรหันต์ ส่วนปุถุชนคนที่หนาด้วยกิเลสก็ได้แต่เพียงคาดเดากันไป
ในสมัยพุทธกาลพระอรหันต์บางรูปก็ไม่ได้แสดงตนว่าท่านเป็นพระอรหันต์เช่นพระลกุลฎกภัททิยะที่มีรูปร่างเล็กเหมือนสามเณร พระภิกษุทั้งหลายก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ต่างก็พากันหยอกล้อ จับศีรษะบ้าง จับแขนบ้างเพราะคิดว่าท่านเป็นสามเณรและพากันถามว่าไม่อยากสึกหรือ ไม่ระสันหรือ พระลกุลฏกะก็ได้แต่ยิ้มไม่ตอบโต้กับใครเลย จนกระทั่งวันหนึ่งพระพุทธเจ้าเห็นอาการนั้นจึงเรียกประชุมสงฆ์และประกาศในที่ประชุมสงฆ์ว่า “พระลกุลฏกภัททิยะคือพระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้ว พวกภิกษุอื่นๆอย่าได้ล้อเล่นเดี๋ยวจะกลายเป้นบาปพากันตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกัน”
พระอรหันต์ในปัจจุบันยังมีอยู่หรือไม่นั้น พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่กำลังจะปรินิพพานได้ตอบคำถามของสุภัททปริพาชกในเรื่องนี้ดังที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย (10/138/121) ความว่า “ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์แปด ในธรรมวินัยนั้นไม่มีสมณะที่ 1 สมณะที่ 2 สมณะที่ 3 หรือสมณะที่ 4
ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์แปด ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 หรือที่ 4 ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้มีอริยมรรคประกอบด้วย องค์ 8 ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 หรือที่ 4 ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย”
คำว่า “สมณะที่หนึ่งในที่นี้หมายถึงพระโสดาบัน สมณะที่สองก็คือพระสกทาคามี สมณะที่สามก็คือพระอนาคามี และสมณะที่สี่ได้แก่พระอรหันต์” จากคำตอบของพระพุทธเจ้าในพระสูตรนี้แสดงว่า ตราบใดที่ยังมีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด ตราบนั้นก็ยังคงมีพระอรหันต์
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโนจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่นั้น จึงไม่ใช่ปัญหาที่น่าจะถกเถียงกัน ท่านจะละสังขาร มรณภาพหรือนิพพานก็เป็นเรื่องของท่าน แต่งานที่หลวงตาทำนั้นเป็นคุณประโยชน์มหาศาลต่อประเทศชาติ ทองคำมากกว่าสิบตันไม่ใช่คนธรรมดาสามัญจะหาได้ง่ายๆ ถึงหากหาได้ส่วนมากก็จะเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน รวบรวมทองคำเหล่านี้มอบให้เป็นสมบัติของประเทศชาติ ไม่ได้เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเลย พระสงฆ์อย่างนี้หาได้ยากและควรแก่การกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริง ท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่ก็กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
28/02/54
ข้อมูลและภาพประกอบขอขอบคุณ http://www.luangta.com/
ประมวลภาพหลวงตาดูได้จาก
http://www.luangta.com/resume/galleryForm.php?cgiSearchPage=
ประวัติหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
{youtube}Hhbkccpli4g&feature=related{/youtube}
ประวัติหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
{youtube}Mg6WNUZZ9_M{/youtube}
ประวัติหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
{youtube}RavJCd4bS-k&feature=related{/youtube}
สารคดีประวัติหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
{youtube}SLq_uY3KziY&feature=related{/youtube}
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนสงเคราะห์โลก
{youtube}bup5IBeRvMI&feature=related{/youtube}
เทศน์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
{youtube}2vDPTjODd9w&feature=related{/youtube}
{youtube}sSymSTp-hnE&feature=related{/youtube}
เทศน์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
{youtube}2vDPTjODd9w&feature=related{/youtube}