วันที่ทราบข่าวหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ละสังขารมรณภาพนั้น เป็นวันที่อากาศหนาวเย็นยะเยือกมากตื่นขึ้นมาตอนเช้าหมอกยังคลุมทั่วอาณาบริเวณวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เมืองกุสินารา อินเดีย ผู้ที่แจ้งข่าวให้ทราบคนแรกกลับมาจากบุคคลที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบในดินแดนสถานที่ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือคุณหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ คำพูดจากปากของคุณหมอสั้นๆว่า “หลวงตาพระมหาบัวละสังขารแล้วเวลาประมาณตีสามที่เมืองไทย”เวลาที่คุณหมอแจ้งข่าวเป็นเวลาประมาณเจ็ดนาฬิกาของอินเดียซึ่งช้ากว่าเมืองไทยประมาณชั่วโมงครึ่ง
วันนั้นคณะจาริกแสวงบุญที่เข้าพัก ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ มีหลายหลายคณะ หนึ่งในนั้นคือคณะของคุณหมอพรทิพย์ซึ่งลงมือเข้าครัวทำอาหารถวายพระสงฆ์เอง ทุกคนที่ทราบข่าวต่างก็ตกอยู่ในอาการเศร้าสลด เพราะไม่ได้คาดคิดว่าหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโนจะละสังขารไปในช่วงเวลาเช่นนี้ เวลาที่ทราบข่าวการมรณภาพของหลวงตา ณ ดินแดนกุสินาราอันเป็นสถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน
พวกเราเป็นคณะแรกที่เดินทางไปยังมหาสถูป จึงได้สิทธิในการเข้าไปกราบสักการะข้างๆพระพุทธเจ้ามองดูเหมือนกับกำลังนินทราสงบนิ่ง เป็นข้อตกลงเบื้องต้นสำหรับนักจาริกแสวงบุญว่าใครมาถึงก่อนมีสิทธิเข้าไปสวดมนต์ภายในสถูป วันนั้นเสียงสวดมนต์จึงมีสำเนียงแห่งความเศร้าสลดทับทวีคูณ เพราะพุทธศาสนิกชนชาวไทยพึ่งสูญเสียพระเถระที่กล้าประกาศต่อหน้ามหาชนว่าสิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์เป็นเวลานานกว่าหกสิบปีมาแล้วดังข้อความที่ปรากฏในคำเทศนาของหลวงตาตอนหนึ่งว่า “กระทั่งพรรษาที่ 16 ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร กิเลสพังเป็นเวลาห้าทุ่มพอดีของวันที่ 15 พฤษภาคม 2493 เหมือนฟ้าถล่มระหว่างกิเลสกับใจขาดกันสะบั้นตัวหลงแตกกระจายจิตละเอียดที่สุด ตั้งแต่บัดนั้นร่างกายดีดผึงเข้าใจเลยว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นหนึ่งเดียวกัน พอกิเลสขาดสะบั้นธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันเรียกว่าธาตุ คืนนั้นไม่นอนเลย นั่งรำพึงรำพัน กราบพระพุทธเจ้า กราบแล้วกราบอีก พระธรรมประเสริฐขนาดไหน พระองค์ตรัสไว้ไม่มีสอง พระพุทธเจ้าเห็นหมด รู้จริง เห็นจริง จึงนำมาสอนให้มุ่งตรงต่อนิพพาน ธรรมไม่เคยล้าสมัย ธรรมเป็นอกาลิโกจริงๆ” นั่นเป็นคำประกาศว่าเป็นผู้ชนะกิเลสแล้ว ซึ่งก็คือเป็นพระอรหันต์นั่นเอง
เว็บไซต์ไซเบอร์วนารามส่วนหนึ่งมีแรงหนุนมาจากเว็บไซต์หลวงตาดอทคอม เพราะเข้าไปอ่าน ไปฟังเทศน์หลวงตาบ่อย จึงคิดว่าน่าจะทำเว็บไซต์ธรรมตามแนวทางที่หลวงตาดอทคอมพาเดิน แต่เราไม่ใช่พระอรหันต์ยังมีกิเลสเต็มหัวใจ จึงตั้งเป้าหมายนำเสนอสำหรับคนที่ยังมีกิเลส ซึ่งอาจจะทำให้เบาบางได้บ้างบางส่วน อย่างน้อยเป็นกัลยาณปุถุชนก็ยังดี ในอดีตมีพระเถระหลายรูปแม้จะไม่ใช่พระอรหันต์แต่ก็สอนคนอื่นให้บรรลุอรหันต์ได้เหมือนกัน
เว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนารามไม่เคยอยู่จำพรรษากับหลวงตามหาบัว แต่เคยไปถวายสักการะในช่วงเข้าพรรษาติดต่อกันหลายปี และได้ฉันข้าวที่หลวงตาบริจาคมาหลายปี เรื่องมีอยู่ว่าสมัยหนึ่งเมื่อครั้งที่เริ่มเรียนบาลีใหม่ๆได้พักจำพรรษาที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดป่าบ้านตาดเท่าใดนัก อาหารการฉันค่อนข้างลำบาก เพราะมีพระภิกษุสามเณรที่มุ่งหน้ามาเรียนภาษาบาลีจากทุกจังหวัดในภาคอีสาน เพราะที่วัดโพธิสมภรณ์เป็นศูนย์บาลีศึกษาอีสาน(ธรรมยุต)เมื่ออยู่ด้วยกันจำนวนมากอาหารการฉันจึงค่อนข้างจะลำบาก บางวันบิณฑบาตได้เพียงข้าวเหนียวก้อนเดียวกับน้ำพริกห่อเล็กๆเท่านั้น วัดจึงได้จัดทำอาหารเพลถวายพระภิกษุสามเณรทั้งวัด ซึ่งก็ใช้ข้าวสารจำนวนมาก หลวงมหาบัวทราบข่าวจึงได้นำข้าวสารมาช่วยเหลือเดือนละหลายกระสอบ ท่านบอกสั้นๆว่า “เห็นพระเณรเรียนหนังสือแล้วสงสงสาร พระนักเรียนต้องใช้สมองเพราะบาลีเรียนยากมาก กว่าที่ผมจะสอบได้เป็นพระมหานี่ก็ต้องสู้อย่างหนัก ดังนั้นจะช่วยเหลือด้านอาหารอย่างเต็มที่ อย่าให้พระเณรลำบากเลย” และท่านก็ช่วยจริงๆโดยไม่ได้ประกาศให้ใครทราบ เรื่องนี้ถูกเปิดเผยภายหลังโดยหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์รูปปัจจุบันคือพระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป) สมัยเมื่อดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระเทพเมธาจารย์” ด้วยความบังเอิญ
วันหนึ่งหลวงปู่เห็นนักเรียนขี้เกียจไม่ค่อยเรียนหนังสือ หลวงปู่จึงไปสอนเอง พร้อมทั้งประกาศว่า “พวกคุณฉันข้าวพระอรหันต์คือหลวงตามหาบัว ที่ท่านบริจาคข้าวสารเดือนหนึ่งหลายกระสอบ แต่ทำไมทำตัวเหมือนคนอกตัญญู”เว็บมาสเตอร์ไซเบอร์ฯนั่งอยู่ในห้องเรียนครั้งนั้นด้วย จึงได้ทราบข้อเท็จจริงว่าการที่มีข้าวฉันทุกวันเป็นเพราะน้ำใจอันประเสริฐของหลวงตามหาบัว อาจเรียกได้ว่าการได้เป็นพระมหาเปรียญในปัจจุบันเพราะบุญคุณข้าวสารของหลวงตามหาบัวโดยแท้
หลวงตามหาบัวชอบเรียกตัวท่านเองว่า "หลวงตา" และชอบให้คนทั่วไปเรียกท่านว่า "พระมหาบัว"มากกว่าจะให้เรียกตามสมณศักดิ์ที่ท่านได้รับคือ “พระธรรมวิสุทธิมงคล” ถึงกับเขียนติดข้างรถยนต์ที่ท่านนั่งประจำว่า “พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน”
ครั้งหนึ่งประมาณต้นเดือนธันวาคมปีพุทธศักราช 2535 เว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนารามไปปฏิบัติงานที่วัดถ้ำเอราวัณ จังหวัดอุดรธานี อากาศหนาวมาก ทั้งลมก็แรงเรียกว่าทั้งหนาวทั้งแห้งหากสุขภาพไม่แข็งแรงจริงๆก็ยากที่จะทนทานไหว พระภิกษุสามเณรเรียนหนังสือบาลีเตรียมสอบ วันละสามเวลาคือเช้า บ่ายและเย็น ท่ามกลางอากาศที่เหน็บหนาวและแห้งแล้ง วันหนึ่งมีรถกระบะข้างๆเขียนบอกไว้ชัดเจนว่า”พระมหาบัว ญาณสัมปันโน” มาจอดที่ข้างๆศาลาการเปรียญ คนขับรถมาคนเดียวยกสิ่งของภายในรถมาถวายพระภิกษุสามเณรคืออังสะกันหนาว ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว พระภิกษุสามเณรกำลังเลิกเรียนเดินกลับกุฏิที่พัก ผ่านรถยนต์ที่จอดอยู่พอดีจึงถวายทุกรูปที่เดินผ่าน โดยเว็บมาสเตอร์ไซเบอร์ฯเป็นผู้แจกจนครบทุกรูป อังสะผืนสุดท้ายอยู่ในมือพอดี จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเหตุมหัศจรรย์ก็เหลือจะคาดเดาได้ จำนวนอังสะกันหนาวพอดีกับจำนวนพระภิกษุสามเณรในวัดนั้นพอดิบพอดีจำได้ว่า 54 ผืน คนขับรถหลวงตามหาบัวบอกสั้นๆว่า “หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาดให้ผมนับมาจำนวนห้าสิบสี่ผืนเท่านี้ และบอกให้นำมาถวายพระเณรที่วัดถ้ำเอราวัณแห่งนี้ หลวงตาบอกว่าพระเณรคงหนาว”
วันนั้นเจ้าอาวาสวัดถ้ำเอราวัณไม่อยู่ติดภารกิจเดินทางไปในตัวจังหวัด กลับมาเจ้าอาวาสบอกว่า “มีโยมถวายผ้าอังสะกันหนาวผมแต่ถวายมาผืนเดียว จึงไม่รู้จะแบ่งให้ใครได้ ท่านมหาอย่าบอกใครนะ เดี๋ยวพระเณรน้อยใจหาว่าเจ้าอาวาสไม่ดูแลเอาใจใส่” จึงบอกท่านเจ้าอาวาสไปว่าหลวงตามหาบัวนำมาแจกครบทุกรูปแล้ว ผมยังคิดอยู่ว่าจะบอกเจ้าอาวาสยังไงดีว่าพระเณรลูกวัดมีอังสะกันหนาวใส่ทุกรูป แต่ไม่เหลือให้เจ้าอาวาสเลย วันนั้นพระเณรที่วัดจึงมีผ้าอังสะกันหนาวครบทุกรูป
ครั้งหนึ่งเคยเดินทางไปที่วัดป่าบ้านตาดพร้อมกับหลวงพ่อพระพุทธพจนวราภรณ์ เมื่อครั้งที่ยังดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระธรรมดิลก”อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร หลวงพ่อกับหลวงตาเป็นเพื่อนกันอายุไล่เลี่ยกัน รูปหนึ่งอยู่ภาคเหนือส่วนอีกรูปอยู่อีสาน เคยอยู่วัดเจดีย์หลวงด้วยกันเมื่อครั้งที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ พอพบหน้ากันต่างก็คุยกันฟื้นความจำทบทวนความหลังอย่างมีความสุข สมัยนั้นหลวงตาพึ่งเริ่มโครงการช่วยชาติได้ไม่นาน นั่งฟังพระเถระทั้งสองสนทนาธรรมกันช่างเป็นความสุขอย่างยิ่ง ช่วงนั้นเวบมาสเตอร์ไซเบอร์ฯมีพระเลี่ยมทององค์หนึ่งตั้งใจว่าจะนำไปให้โยมแม่ แต่พอฟังหลวงตาพูดเรื่องผ้าป่าทองคำช่วยชาติแล้ว จึงได้แกะทองคำถวายหลวงตาไปในวันนั้น เหลือเพียงพระรอดเนื้อดินองค์เดียวที่ถึงมือแม่แต่กลายเป็นพระใส่กรอบพลาสติค ทองคำถวายพระอรหันต์ในวัด แต่พระรอดถวายพระอรหันต์ในบ้าน
ย้อนกลับมาที่กุสินาราวันนั้นนั่งเพิ่งมองพระพุทธรูปปางปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สถูปเมืองกุสินารา หลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันหลั่งไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เกิดความรู้สึกซาบซึ้งสงสารพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ต่อมหาชน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตก็ยังแสดงธรรมแก่สุภัททปริพาชก ทั้งที่พระอานนท์ห้ามแล้วห้ามอีกกลัวว่าพระพุทธองค์จะทรงเหนื่อยเกินไป ประกอบกับข่าวการมรณภาพของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน (พระธรรมวิสุทธิมงคล) ที่พึ่งได้ทราบข่าวในวันนั้นพอดี เห็นหลายคนเช็ดน้ำตาอย่างเปิดเผย ฉันเองก็กลั้นไว้แทบไม่อยู่เหมือนกัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
11/02/54