วันหนึ่งนั่งรถแท็กซี่ไปวัดบวรนิเวศวิหารตามปกติ วันนั้นรถติดมาก พอเริ่มต้นขึ้นรถได้คนขับจึงชวนคุย ส่วนมากจะเป็นเรื่องปัญหาบ้านเมืองพวกเสื้อเหลืองเสื้อแดง คนขับท่านนี้ไม่เข้าข้างใครเพียงแต่บอกว่าหากไม่มีการชุมนุมคงดี เพราะชุมนุมทีไรรถติดทุกที หากทุกคนทำงานตามหน้าที่ด้วยความอดทนและตั้งใจจริงเมืองไทยนี่แหละเหมาะที่สุดแล้วที่จะทำให้คนอยู่อย่างมีความสุขได้ คนส่วนมากมัวแต่คิดถึงอนาคตคือมองถึงแต่สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ในขณะที่เวลาในปัจจุบันไม่ค่อยคำนึงมากนัก
คนขับแท็กซี่ท่านนั้นอายุมากแล้วน่าจะเกินเจ็ดสิบปีได้หันมาถามว่าคำสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่องไม่ควรคำนึงถึงอดีตไม่ควรคิดถึงปัจจุบัน ภาษาบาลีว่าอย่างไร เอาละซี่หน้าตาเรากลายเป็นผู้รอบรู้ในเรื่อพระไตรปิฎกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงถูกคนขับรถแท็กซี่ถามขึ้นมาอย่างนั้น วันนั้นบังเอิญเป็นพระสูตรที่คุ้นเคยสวดอยู่เป็นประจำจึงตอบได้ทันที
พระสูตรนั้นชื่อว่าภัทเทกรัตตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์(14/526/265) ภาษาบาลีว่า “อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ยทตีตมฺปหีนนฺตํ อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ” แปลเป็นไทยว่า “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว” วันนั้นจำหน้าและเล่มไม่ได้ แต่ได้มาเปิดดูทีหลัง ข้อความของพุทธภาษิตนี้มีปรากฎในภัทเทรัตตสูตรสรุปความว่า “สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่าเราจักแสดงอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังอุเทศและวิภังค์นั้นจงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่าชอบแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
พระสูตรนี้พระพุทธเจ้าอยากแสดงเองโดยไม่ต้องมีใครถาม จากนั้นพระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสต่อไปว่า “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงจริญธรรมนั้นเนืองๆให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ”
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบภิกษุบางรูปยังทำหน้างงๆบางรูปที่ยังเป็นปุถุชนก็ยังสงสัย พระพุทธเจ้าจึงได้ขยายความต่อไปว่า “บุคคลย่อมคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร” นั้นหมายถึงรำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า เราได้มีรูปอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้วได้มีเวทนาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีสัญญาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีสังขารอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีวิญญาณอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว”
สรุปว่าคิดถึงความสุขความเพลิดเพลินในอดีตนั่นเอง บางคนเคยมีความสุขมาก่อน แต่พอมาบวชความสุขทางโลกเหล่านั้นก็พลันหายไป เหลืออยู่แต่ในความคิด คราวใดที่ได้คิด จึงเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชะโลมใจ บางคนจึงมัวแต่คิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งไม่อาจจะทำให้ย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เมื่อกาลเวลาผ่านไปเหตุการณ์นั้นก็ผ่านไปด้วย แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว ควรเลิกคิดซึ่งคนทั่วไปทำได้ยาก จะไม่ให้คิดถึงอดีตได้อย่างไรกัน ก็คนมันมีอดีต แต่พระพุทธเจ้าสอนว่า “ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว”
ส่วนคำว่า “บุคคลย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร” นั้น หมายถึงรำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคตพึงมีเวทนาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสัญญาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสังขาร อย่างนี้ในกาลอนาคต ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ชื่อว่ามุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง”
หากไม่ให้คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว คนส่วนหนึ่งก็มักจะคิดเลยไปถึงอนาคตซึ่งเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ความคิดนั้นบางทีก็ทำให้เกิดความสุขได้ชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนกัน
มีเรื่องเล่าว่า“พระหนุ่มสองรูปสมมุติชื่อว่าภิกษุดำและภิกษุขาวกำลังดูและพระสงฆ์แก่ท่านหนึ่งที่เป็นอาจารย์ที่ไม่สบายกำลังนอนป่วยอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งถือพัด อีกรูปหนึ่งกำลังบีบนวดหลวงพ่อที่เริ่มจะเข้าสู่ความหลับ พระหนุ่มสองรูปค่อยๆสนทนากันเบาๆว่า ถ้าลาสิกขาออกไปท่านจะทำงานอะไร
พระดำตอบว่าผมจะปลูกผักนานาชนิด บนไหล่เขาพอเจริญงอกงามดีก็นำไปขายที่ตลาดได้เงินมาเลี้ยงครอบครัว ผมก็จะหาภรรยาสวยๆสักคนหนึ่ง มีลูกสักสองคนก็พอ ปลูกบ้านอยู่บนเชิงเขา ไม่ต้องใหญ่โตอะไรมาก พออยู่พอกินก็พอ ชีวิตชาวไร่ก็ไม่ทำให้ใครอดตาย
ส่วนพระขาวตอบว่า “ผมจะเลี้ยงแพะ ถึงเวลาก็ต้อนแพะออกหากินบนไหล่เขานี่แหละ จากนั้นก็นอนเล่นสบายๆไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก เมื่อแพะโตพอก็รีดนมแพะขาย ผมก็จะหาภรรยาสักคนไม่ต้องสวยนักก็ได้ แต่ต้องเป็นคนมีศีลธรรม ถึงวันพระก็พาภรรยามาทำบุญรักษาศีลอุโบสถกับหลวงพ่อที่วัด”
พระดำค้านว่า “ไปเลี้ยงที่อื่นได้ไหม เดี๋ยวแพะท่านก็มากินผักผมพอดี”
พระขาวบอกว่า “อ้าวภูเขาเป็นที่สาธารณะใครจะทำอะไรก็ได้ จะมาห้ามทำไม หากกลัวแพะผมกินผักท่านก็ล้อมรั้วให้ดีสิ”
พระดำเริ่มเสียงดังขึ้น “ก็แพะท่านจะมากินผักผม บางทีอาจจจะได้เนื้อแพะกินกับผักสดก็ได้ ไม่ต้องลงทุน หากแพะท่านเข้ามาเมื่อไหร่ผมไม่เลี้ยงแน่”
พระขาวก็ใช่ย่อย “ท่านก็ดูแลผักของท่านเอาเองสิ แพะก็ส่วนแพะ ผักก็ส่วนผัก”
พระดำเริ่มโกรธ “อย่างนี้มาต่อยกันดีกว่า” พระดำวางพัดที่กำลังถืออยู่ในมืออย่างแรง กระทบถูกศีรษะของหลวงพ่อพอดี หลวงพ่อนอนฟังมานานแล้วสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมในทันใดพลางถามด้วยเสียงดังไม่แพ้กันว่า “ไหนละผัก ไหนนมแพะอยู่ที่ไหน ลวกมาให้ข้าฉันกับน้ำพริกบ้างสิ นมแพะอย่าลืมต้มให้ร้อนเสียก่อน เดี๋ยวข้าท้องเสีย”
พระดำและพระขาวจึงได้สติ ก้มลงกราบหลวงพ่อในทันใด เรื่องนี่เป็นเพียงจินตนาการที่ยังไม่ได้ลงมือกระทำก็เกือบทำให้พระดำกับพระขาวลงไม้ลงมือกันซะแล้ว ยังไม่ได้ลาสิกขาด้วยซ้ำ เป็นเพียงความฝันถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงรูปหนึ่งปลูกผักรูปหนึ่งเลี้ยงแพะ ปัญหาหลายอย่างในบ้านเมืองเกิดขึ้นเพียงเพราะคนส่วนหนึ่งคิดวาดฝันไปเอง พระพุทธเจ้าเตือนไว้แล้วว่า “ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง” นั่นหมายถึงให้อยู่กับปัจจุบันทำใจยอมรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
17/01/54