เย็นวันหนึ่งขณะที่นั่งเล่นบริเวณเชิงเขา เพ่งมองดูความงามของขุนเขาที่ถูกแสงอาทิตย์ทาบทับ เกิดเป็นภาพสีทองและสีเขียวของหมู่แมกไม้ พึ่งสังเกตเห็นว่าข้างๆมีต้นไม้ที่กำลังเหี่ยวแห้งตายยืนต้นโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ท่ามกลางหุบเขาถูกลมพัดก็ไม่ไหวติง ยืนนิ่งเหมือนคนสิ้นแรง อีกฟากหนึ่งหมู่ไม้เขียวขจียืนอวดลำต้นตระหง่าน เมื่อถูกลมพัดก็โอนเอนไปตามกระแสลม แต่ไม่เคยหักโค่น พอลมแรงผ่านไปมันก็กลับมาตั้งมั่นได้เหมือนเดิม
ต้นไม้ที่ยืนต้นเดียวมักจะอยู่ได้ไม่คงทน จะค่อยๆแห้งเหี่ยวและเฉาตายในเวลาไม่นาน ส่วนต้นไม้ที่อยู่ในป่าใหญ่มีแมกไม้นานาพรรณแวดล้อมจะมีลำต้นสูงและมักจะเจริญงอกงาม แม้ว่าจะแย่งอาหารกันกิน ต่างฝ่ายต่างกิน แต่ผลสุดท้ายมักจะอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ ต้นไม้ที่ไม่มีแรงจะสู้กับต้นอื่นๆในที่สุดก็จะตายและกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงต้นไม้อื่นๆ ป่าไม้ยังต้องต่อสู้กันเอง ใครแข็งแรงกว่าจึงจะมีชีวิตอยู่ในป่าต่อไปได้
มนุษย์ก็ไม่ได้ต่างจากต้นไม้เท่าไหร่นัก ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ ต้องศึกษาเล่าเรียนกว่าจะจบการศึกษาบางคนอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง พ่อแม่ที่มีเงินส่งลูกให้เรียนสูงๆได้จึงได้เปรียบคนอื่นๆ บางคนแม้จะสมองไม่ดีนักแต่เพราะมีกำลังทางการเงินมากก็สามารถเรียนจนจบการศึกษาขั้นสูงสุดได้ แต่บางคนแม้จะสมองดีเรียนเก่ง แต่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย จึงต้องหยุดเรียนกลางครัน หันไปประกอบอาชีพตามที่ตนคิดว่าดีที่สุด บางครั้งอาชีพหรือการงานก็เลือกไม่ได้
กำนันบุญช่วยเดินมานั่งชวนสนทนาด้วย เริ่มต้นด้วยปัญหาเรื่องปากท้อง การเมือง สุดท้ายมาลงที่การอนุรักษ์ป่าไม้เพื่อให้ลูกหลานในอนาคตจะได้รู้จักป่า กำนันบอกว่าการรักษาป่านั้นไม่ต้องทำอะไรมากปล่อยให้ต้นไม้เกิดตามธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว ต้นไม้จะแข่งกันเอง ต้นไหนแข็งแรงจะคงอยู่ ส่วนต้นที่อ่อนแอก็จะแห้งตาย ที่สำคัญคือมนุษย์อย่าไปยุ่งกับป่า ปล่อยให้ธรรมชาติจัดการกันเองเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แปลกนะต้นไม้อยู่กับที่ย้ายที่อยู่ไม่ได้ แต่กลับมีความมั่นคง ส่วนไม้ที่มนุษย์เคลื่อนย้ายมักจะอยู่ได้ไม่นาน” กำนันพูดเหมือนรำพึงกับตนเอง จากนั้นกำนันก็ได้เล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟังสรุปว่า
บุญช่วยกับบุญธรรมเรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา จนกระทั่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก บุญช่วยไม่มีเงินเรียนต่อจึงต้องทำไร่ทำนาไปตามอาชีพเดิมที่บรรพบุรุษเคยดำเนินมา การทำการเกษตรนั้นบางปีก็ได้ผล บางปีก็ไม่ค่อยได้ผล แต่ก็มีเงินจับจ่ายใช้สอยตามสมควรแก่อัตภาพ ไม่เดือดร้อนนัก พออายุถึงวัยอันควรบุญช่วยก็แต่งงานมีครอบครัวกับสาวบ้านเดียวกัน ช่วยกันทำมาหากินมีลูกชายหนึ่งคนกับลูกสาวอีกสองคน บุญช่วยส่งลูกเรียนหนังสือไปเรื่อยๆ ส่วนตัวเองและภรรยาก็ทำงานหาเงินส่งลูกเรียน บุญช่วยเกิดที่หมู่บ้านนี้ไม่เคยย้ายไปไหนเลย ปัจจุบันเขาได้รับเลือกเป็นกำนันประจำตำบลที่มีหมู่บ้านในความดูแลถึงสิบสองหมู่บ้าน ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปตามบทบาทและหน้าที่
ส่วนบุญธรรมเห็นว่าเมื่อเรียนจบชั้นมัธยมในต่างจังหวัดแล้วจึงได้เข้ามาแสวงโชค ทำงานไปด้วยเรียนมหาวิทยาลัยเปิดไปด้วย ในที่สุดก็สามารถเรียนจบได้รับปริญญา และได้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเงินเดือนหลายหมื่นบาท เขาแต่งงานมีครอบครัวมีลูกชายสองคน ซื้อบ้าน ซื้อรถ มีแทบทุกอย่างที่อยากมี แต่ไม่มีเงินเก็บเลย เงินเดือนก็ใช้สอยหมดไปในแต่ละเดือน ชีวิตในเมืองหลวงดูเหมือนจะมีความสุขสบายดีทุกอย่าง
แต่ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน บริษัทที่บุญธรรมทำงานอยู่นั้นได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ มีความจำเป็นต้องลดจำนวนลูกจ้าง บุญธรรมจึงถูกเลิกจ้าง ทั้งๆบ้านต้องผ่อน รถก็ยังผ่อนไม่หมด ภาระที่ไม่คาดคิดจึงกลายมาเป็นปัญหา อายุก็มากแล้วเงินเก็บก็ไม่มี แถมยังมีภาระส่งค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูกเรียนอีกต่างหาก ปัญหาทุกอย่างรุมเร้าแทบไม่มีทางออก จนเกือบจะฆ่าตัวตาย
บุญธรรมจึงขายบ้าน ขายรถและกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด เงินที่เหลือซื้อที่ได้แห่งหนึ่งเขาปลูกบ้านหลังเล็กๆพออยู่อาศัยได้ และหาซื้อที่ดินทำการเกษตรเลี้ยงครอบครัว โดยมีเพื่อเก่าคือกำนันบุญช่วยคอยให้การช่วยเหลือ ชีวิตต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ต้นไม้ตามทัศนะของกำนันบุญช่วยอาจแยกออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกเกิดและต่อสู้ยืนหยัดกับต้นไม้อื่นๆในป่า หากชนะก็จะสามารถหยั่งรากลึกยืนหยัดด้วยความมั่นคง กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ไม้เล็กๆเหล่าอื่นได้อาศัยร่มเงา ในป่าต้องมีไม้ใหญ่ ป่าจึงจะเป็นป่าที่สมบูรณ์
ส่วนต้นไม้อีกประเภทหนึ่งเป็นไม้ที่มักจะถูกย้ายไปปลูกในที่อื่น ไม่เคยหยั่งรากลึกฝังรากแน่นหนาสักที เพราะคนต้องคอยตัดคอยย้ายเพื่อความสะดวกจึงกลายเป็นไม้ที่ไม่มีรากแก้ว พอลมกรรโชกแรงมักจะหักโค่นล้มลงก่อนต้นอื่นๆ แม้จะมองดูภายนอกเหมือนกับจะแข็งแรง ปัจจุบันสามารถเห็นได้ตามที่พักตากอากาศ ตามที่ทำงานของรัฐบาลเป็นต้น เทคโนโลยีใหม่ๆสามารถเนรมิตที่ดินธรรมดาให้กลายเป็นสวนป่าได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
บุญช่วยเหมือนไม้ยืนต้นต้องต่อสู้กับสิ่งรอบข้างต่างๆนานา แต่เขาก็ค่อยหยั่งรากลึกลงไปเรื่อยๆเหมือนต้นไม้ที่ค่อยๆเติบโตไปทีละนิด ในที่สุดก็ยืนหยัดอย่างมั่นคง กลายเป็นที่พึ่งของคนอื่นๆ
บุญธรรมเหมือนไม้ที่มักจะถูกย้ายไปประดับในที่ต่างๆ ไม่อาจจะหยั่งรากได้มั่นคงนัก พอโดนกระแสลมแห่งเศรษฐกิจพัดกระหน่ำก็ต้องโค่นล้มลง กว่าที่จะหยัดยืนขึ้นได้ก็ต้องเริ่มต้นใหม่
มนุษย์มีทางเลือกว่าจะเป็นไม้ยืนต้นหรือเป็นไม้ประดับหรืออาจจะมีไม้ล้มลุกอีกอย่างก็ได้ ทางใครทางมัน ใครจะเลือกอะไรก็ได้ ต้นไม้ก็สามารถนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์ได้เหมือนกัน
วันนั้นได้สนทนากับกำนันบุญช่วยแต่ไม่ได้พบกับบุญธรรม บุญช่วยมีปรัชญาชีวิตง่ายๆปล่อยให้ธรรมชาติจัดการกันเอง การดำเนินชีวิตก็ง่ายๆคือทำตามหน้าที่ไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันกับใคร หากเรามีจิตใจมั่นคงไม่นานก็จะมีคนเห็นคุณค่าและมอบหมายภาระหน้าที่ให้ทำ กำนันบุญช่วยฝากไว้ประโยคสุดท้ายว่า “ขอเพียงแต่เราซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ทุกอย่างจะดำเนินไปตามวิถีทางที่ถูกต้องเอง”
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
18/11/53
หมายเหตุ: ชื่อบุญช่วยและบุญธรรมเป็นนามสมุติ แต่บุญไทยเป็นชื่อจริง......