ใครเคยไปวัดราชาธิวาสวิหาร ถนนสามเสน ซอย ๙ เขตดุสิต กรุงเทพฯบ้าง หากเดินลึกเข้าไปจนเกือบถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ข้างๆ ศาลาไม้สักที่มีอายุนับได้หลายร้อยปี นัยว่าเป็นศาลาไม้สักที่สมบูรณ์และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ข้างๆศาลาจะมีป้ายสังกะสีเก่าๆห้อยตามกำแพงตามต้นไม้ต่างๆเป็นจำนวนมากเขียนข้อคิดคำคมไว้เป็นข้อคิดสะกิดเตือนใจ
ข้อมูลจากกองพุทธสถานระบุว่าวัดราชาธิวาสวิหาร เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งที่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ พัฒนาโดยพระบรมราชูปถัมภ์ จากพระมหากษัตริย์ไทยในราชจักรีวงศ์มาโดยลำดับ เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทย และเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีมาโดยตลอด มีสถานะเป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดราชวรวิหาร และเป็นพระอารามหลวงฝ่ายธรรมยุต สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๐ และผูกพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ข้อมูลเกี่ยวกับวัดราชาธิวาสโดยละเอียดโปรดอ่านได้จาก http://www.watraja.org/
แสดงว่าวัดนี้มีอายุมากกว่า ๗๐๐ ปีมาแล้ว ที่น่าสนใจนอกจากวิหารไม้สักเก่าแก่แล้ว สิ่งหนึ่งที่กลายเป็นเอกลักษณ์พิเศษของวัดนี้คือตามรั้วและต้นไม้ต่างๆภายในบริเวณวัดมีป้ายคติธรรมคำคมต่างๆ บางคำเราคุ้นหูและอาจเคยฟังมาจากที่อื่นมาบ้างแล้ว แต่บางคำอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่นเขียนเหมือนจะถามผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่า “เกิดมาทำไม.... เกิดมาเพื่อทำ การทำคือผลกำไร เกิดมาไม่ทำ เกิดมาทำไม ทำชั่วทำดีอยู่ที่กายใจ ทำดีมีกำไร ทำชั่วจัญไรขาดทุน” ลงชื่อลิงแดง คำคมต่างๆเหล่านี้ทำจากวัสดุเหลือใช้คือสังกะสีเก่าๆ นำมาทาสีใหม่ จากนั้นเขียนข้อความลงไป มองดูเป็นศิลปะอันน่าทึ่ง นี่อาจเรียกได้ว่า “กำแพงพูดได้” คอยเตือนใจผู้ผ่านไปผ่านมา
ตามต้นไม้ต่างๆ มีแผ่นป้ายลักษณะเดียวกันเขียนข้อความสั้นบ้างยาวบ้างตามใจคนเขียน แม้ว่าตัวอักษรจะไม่ค่อยสวยงามเท่าใดนัก เพราะเขียนขึ้นด้วยฝีมือตามใจคนเขียน มีหลากหลายสามารถเดินหาอ่านได้ตามสะดวก ข้อความตอนหนึ่งอ่านแล้วสะดุดใจว่า “ห้ามยากแต่ห้ามได้.... ห้ามคนมิให้ริษยาเหมือนห้ามหมามิให้เห่า ห้ามคนมิให้นินทาเหมือนห้ามหมามิให้เกา ในกลุ่มวงการทีมงานของเรา ไม่เห่าไม่เกามีบ้างไหมเอ่ย”อ่านแล้วซึ้งถึงแก่น ริษยากับนินทาเหมือนธรรมชาติภายในใจมนุษย์ นำมาเปรียบเทียบกับหมาเห่า หมาเกาซึ่งเป็นธรรมชาติของหมา ขออนุญาตใช้คำตามที่ท่านเขียน อย่าหาว่าเขียนถ้อยคำไม่สุภาพ คนเขียนคิดได้ลึกซึ้งสะใจคนอ่าน ในส่วนนี้อาจเรียกได้ว่า “ต้นไม้แสดงธรรม”
กำแพงกับต้นไม้ในวัดต่างๆ ในบริเวณวัด หากทิ้งไว้เปล่าๆก็น่าเสียดาย วัดราชาธิวาสมีการจัดสรรค์ทรัพยากรอย่างยอดเยี่ยม ใช้วัสดุเท่าที่หาได้ เขียนไปตามฝีมือไม่ต้องลงทุนเขียนป้ายสวยๆ แต่ไม่ค่อยคงทนถูกแดดถูกฝนไม่กี่ปีตัวอักษรก็จางหาย แต่ที่นี่เป็นแท่งเหล็กและสังกะสีของเหลือใช้ นำมาดัดแปลงแก้ไข ส่วนต้นไม้อยู่กับที่ไม่หนีไปไหน ไม่เหมือนมนุษย์ที่ไม่ชอบอยู่กับที่วิ่งไปที่นั่นที่นี่จนไม่มีเวลาคิดถึงธรรมะและชีวิต หากเดินเข้าวัดราชาฯก็จะได้เห็นกำแพงพูดได้ ต้นไม้แสดงธรรม ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือคนเขียนลงนามว่า “ฤาษีลิงแดง” เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าใครคือฤาษีลิงแดง
เคยได้ยินแต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง อุทัยธานี แต่ที่วัดราชาธิวาสมีฤาษีลิงแดงคงเป็นญาติสนิทของฤาษีลิงดำกระมัง พอถามพระภิกษุรูปหนึ่งที่เดินผ่านมาว่าฤาษีลิงแดงคือใคร ท่านได้แต่โปรยยิ้มบางๆ พลางชี้มือไปทางกุฎีเจ้าอาวาส พร้อมกับตอบด้วยสำเนียงปักษ์ใต้ชัดเจนว่า “นิมนต์ไปถามที่กุฎีเจ้าอาวาส” ที่นั่นห่างจากต้นไม้ที่มีป้ายห้อยระโยงระยางเกือบเต็มต้นไม่ไกลนัก มีป้ายประกาศว่า พระธรรมกวี เจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวิหาร .....ได้แต่ยกมือไหว้พร้อมอนุโมทนาสาธุ วันนี้มีภารกิจอื่นต้องรีบไป จึงยังไม่ได้เข้าไปกราบเรียนถาม
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
เรียบเรียง
๑๘/๐๒/๕๓