ช่วงนี้หลายพื้นที่ของประเทศไทยมีฝนกระจายไปทั่ว บางแห่งตกทั้งวันตกๆหยุดๆ ไม่เข้าใจฟ้าจริงๆ อากาศบางแห่งเริ่มหนาวแล้ว สุขภาพร่างกายมนุษย์บางคนไม่อาจทนทานได้เจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลกันเป็นแถว สถานศึกษาหลายแห่งสอบเสร็จแล้วนักเรียนนักศึกษาได้หยุดพักเพื่อที่จะได้มีพลังสู้กับการเรียนในเทอมต่อไป ส่วนพระสงฆ์ยังต้องรออีกต่อไปเพราะเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าที่จะถึงวันออกพรรษา แต่พระใหม่บางรูปวางแผนเตรียมพร้อมที่จะลาสิกขาแล้ว
หากมองโลกด้วยสายตาแห่งความสับสนโลกนี้ก็วุ่นวายน่าดู แต่มองทุกอย่างให้เป็นเรื่องของความธรรมดาก็จะอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข เพราะทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ บางอย่างไม่ต้องมีคำอธิบายให้วิจิตรพิศดารแต่อย่างใด บางครั้งพื้นฐานความรู้ของมนุษย์ก้มีส่วนทำให้ทัศนะการมองสิ่งทั้งหลายต่างกัน
มีเรื่องเล่าว่าครอบครัวหนึ่งมีลูกสาวสองคน พอโตก็ได้แต่งงานตามประเพณี คนโตได้แต่งงานกับดอกเตอร์ท่านหนึ่งที่พึ่งเรียนจบมาจากต่างประเทศได้ไม่นาน ส่วนน้องสาวคนเล็กได้แต่งงานกับอดีตมหาเปรียญท่านหนึ่งที่บวชมาหลายปี แต่เกิดความเบื่อหน่ายในโลกแห่งบรรพชิตจึงได้ลาสิกขาทำงานเป็นครูที่โรงเรียนในชนบทแห่งหนึ่ง
วันหนึ่งเขยทั้งสองได้มาเยี่ยมพ่อตา เพราะทราบข่าวพ่อตาไม่สบาย แต่เนื่องจากเป็นชุมชนเก่าบ้านอยู่ในสวนต้องนั่งเรือเข้าไป เขยทั้งสองได้พาพ่อตาเพื่อที่จะไปหาหมอที่โรงพยาบาล แม้ว่าพ่อตาจะมีอาการป่วยแต่ก็ยังพูดคุยกับลูกเขยทั้งสองได้อย่างอารมณ์ดี พอเรือผ่านกอไผ่ที่กำลังแตกหน่อ พ่อตาคิดสนุกได้เอ่ยถามลูกเขยที่เป็นดอกเตอร์ว่า “ดอกเตอร์ ทำไมต้นไผ่จึงแตกหน่อทะลุดินขึ้นมาได้”เพราะความเป็นนักวิชาการดอกเตอร์จึงตอบอย่างมีหลักการว่า “เพราะธรรมชาติของต้นไผ่มีปลายแหลมจึงสามารถแทงทะลุดินขึ้นมาได้ แม้ดินจะแข็งแต่ความแหลมของต้นไผ่ก็สามารถแทงทะลุดินขั้นมาจนได้”
จากนั้นพ่อตาได้หันไปถามลูกเขยคนเล็กว่า “ว่ายังไงมหา จะอธิบายว่าอย่างไร” ท่านมหาตอบว่าไม่ต้องอธิบายหรอกพ่อมันเป็นเรื่องธรรมดาเท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับความแหลมหรือไม่แหลมแต่อย่างใด ดูอย่างเห็ดสิหัวมันก็ไม่แหลม แถมยังอ่อนนุ่มอีกต่างหาก มันก็ยังแทงทะลุดินขึ้นมาได้” พ่อตาหาเหตุโต้แย้งเขยมหาไม่ได้เลยต้องยอม จากนั้นทั้งสามก็พายเรือไปเรื่อยๆ
ตามชนบทในอดีตคลองยังสะอาด ไม่เป็นน้ำครำเหมือนในกรุงเทพในปัจจุบัน ในอดีตกรุงเทพเคยได้รับคำเรียกขานว่าเป็นเวนิชแห่งเอเชีย ก็เพราะมีคลองอยู่ทั่วกรุงเทพนี่เอง แต่ปัจจุบันดูเหมือนรัฐบาลจะคิดการณ์ไกลพากันถมคลองสร้างถนนกันเป็นแถว คลองน้ำทั้งหลายก็ปล่อยปละละเลยจนน้ำเน่าส่งกลิ่นเหม็นไปทั้งบาง เรือค่อยๆเคลื่อนไป บังเอิญมีห่านหลายตัวกำลังเล่นน้ำอย่างเพลิดเพลิน พ่อตาได้โอกาสจึงเอ่ยถามว่า “ทำไมห่านมันจึงร้องเสียงดัง”
ท่านดอกเตอร์ตอบทันใดว่า “ก็เพราะมันคอยาวจึงเสียงดัง อะไรก็ตามที่มีความยาวก็ย่อมให้เสียงดังกว่าสิ่งอื่น อย่างกรณีของฟ้าร้องเนื่องจากสายฟ้าและขอบฟ้ากว้างไกลจึงได้ยินเสียงไปหลายร้อยกิโลเมตร”
ท่านมหาตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่า “เป็นธรรมดาของโลกแหละครับ ไม่เกี่ยวกับความสั้นความยาวหรอก ดูแต่อึ่งอ่างสิครับคอสั้นนิดเดียวตัวอ้วนๆป้อมๆแต่ก็ส่งเสียงดังลั่นทุ่ง” พ่อตาต้องยอมเพราะเหตุผลของมหาก็ฟังได้
อีกไม่ไกลก็จะถึงฝั่งจะได้นั่งรถต่อไปยังโรงพยาบาล พ่อตายังคุยฟุ้งอย่างสบาย จนเขยทั้งสองเริ่มสงสัยว่าพ่อตาเราป่วยการเมืองหรือปล่าว ไหนว่าไม่ค่อยสบายอุตส่าห์จะพาไปให้หมอตรวจและวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร แต่ดูเหมือนว่าพ่อตากำลังจะเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่า เพราะปัญหาบางอย่างไม่น่าถามคนรู้กันทั้งเมืองก็ยังยกมาถาม ได้คำตอบแล้วก็เอาแต่ยิ้ม ยกมือเสยผมที่เหลือน้อยเต็มที
เรือผ่านริมต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่งร่มรื่น พ่อตามองเห็นรูหลายรู เป็นรูอะไรก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ จึงเอ่ยถามลูกเขยทั้งสองขึ้นมาว่า “ทำไมรูมันถึงสะอาดราบรื่นดี”ดอกเตอร์รีบตอบก่อนเพราะเป็นเขยใหญ่ว่า “สิ่งใดก็ตามที่มีการเคลื่อนไหวเข้าๆออกๆมันก็ต้องสะอาดเป็นธรรมดา รูพวกนี้สันนิษฐานว่าคงเป็นรู้ที่มีสัต์ต่างๆอาศัยอยู่ รูใหญ่ก็สัตว์ใหญ่ รูเล็กก็สัตว์เล็ก ไม่เห็นมีอะไรน่าถามเลย”ประโยคสุดท้ายดอกเตอร์บ่นเบาๆเริ่มจะรำคาญคำถามของพ่อตาแล้ว
เขยคนเล็กนั่งเฉยไม่ยอมตอบ แม้พ่อตาจะพยายามถามหลายครั้ง มหาก็ยังคงก้มหน้าพายเรือพลางครวญเพลงสาวสวนแตงแห่งเมืองสุพรรณชื่อเสียงของเธอลือลั่น.... ไปเรื่อยๆ พ่อตาเริ่มจะโมโหที่ลูกเขยมหาไม่ตอบคำถาม “เอ็งจะว่ายังไง ไอ้มหา” หนักเข้ามหาจึงว่า “อย่าให้ตอบเลยพ่อเดี๋ยวผิดใจกันปล่าวๆ ธรรมดาของมันแหละพ่อ อย่าคิดมาก” พลางยิ้มชำเลืองไปที่ศีรษะของพ่อตา แล้วก็ครวญเพลงใหม่อย่างอารมณ์ดีว่า “พี่เป็นหนุ่มลุ่มเจ้าพระยาล่องเรือไปขายค้าเดินทางมาหลายร้อยกิโล ..... ลืมบอกไปว่าพ่อตาหัวล้าน
“ธรรมดายังไงของเอ็ง ทำไมข้าต้องโกรธด้วย ไม่เข้าใจ เอ็งเฉลยทีข้างง” พ่อตาเกาหัว จึงรู้ว่าตนเองลืมหมวก
มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ความเป็นธรรมดาก็คือความเป็นธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนก็เกิดมาตามธรรมชาติที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่บางคนมองไม่เห็นเพราะถูกปิดบังด้วยสิ่งสมมุติเช่นคำว่าสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเพราะถูกปิดบังด้วยความต่อเนื่อง ภาษาพระเรียกว่าสันตติแปลว่าการสืบต่อ ดอกเตอร์แปลได้ไหมครับ สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ แต่คนส่วนหนึ่งมองไม่เห็นเพราะถูกปิดบังด้วยอิริยาบถ ต้องเปลี่ยนอยู่ตลอดนั่งนานไม่ได้มันปวด ยืนนานก็เหนื่อย นอนมากก็ล้า เดินมากก็หอบ มนุษย์ขจึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถคือยืน เดิน นอน นั่ง วันหนึ่งหลายครั้งสลับสับเปลี่ยนกันไป นี่ยังไม่อธิบายไปถึงอนัตตานะ ถ้ายกขึ้นมามีหวังไปไม่ถึงโรงพยาบาล
“มันเกี่ยวอะไรกับรูที่ข้าถาม” พ่อตามเริ่มเอามือลูบหัวอีกครั้งเพราะยิ่งสายแดดก็เริ่มร้อนแรงขึ้นทุกที หัวล้านก็เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดง เพราะผมเหลือน้อยเต็มที
“เกี่ยวสิพ่อ มันเป็นธรรมดาไง อย่างที่ดอกเตอร์ว่านะก็ถูก แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับการใช้งานบ่อยแต่ประการใดดอก แต่มันเป็นธรรมดา ดูแต่ศีรษะพ่อสิไม่เห็นมีสิงสาราสัตว์ที่ไหนมาเลื้อยเข้าเลื้อยออกยังล้านเลี่ยนเตียนโล่งจนแทบจะหาผมสักเส้นไม่พบอยู่นั่นไง” พูดจบเขยมหาก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางเปรยเบาๆว่าผมบอกก่อนแล้วนะเรื่องบางอย่างก็อย่าอยากรู้นัก แต่ท่านดอกเตอร์ปล่อยเสียงหัวเราะลั่น ในขณะที่พ่อตาหน้ามุ่ยศีรษะล้านยิ่งแดงจัด
ดีนะที่ดอกเตอร์กับมหาเปรียญไม่เป็นคนๆเดียวกัน แต่ถ้าพ่อตาผมน้อยคนนี้ได้ลูกเขยอีกคนเป็นดอกเตอร์และมหา สมมุติเช่นพระมหา ดร.บุญไทย ที่เรียนควบคู่กันมาจนจบทั้งมหาเปรียญและจบปริญญาเอก ต่อมาอาจลาสิกขาไปมีครอบครัวก็ต้องเรียก ดร.มหาบุญไทยคงต้องมีคำอธิบายที่วิจิตรพิศดารมากกว่านี้อีก
คนที่มองโลกด้วยความเป็นธรรมดาจะเห็นทุกอย่างมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันกับสิ่งอื่นๆ โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่มีแต่ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง คนเข้าใจธรรมชาติก็เข้าใจโลก และคนที่เข้าใจในการมองโลกให้เห็นเป็นธรรมดาย่อมเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข โลกนี้วุ่นวายอยู่แล้วจะไปนำความวุ่นวายมาทับถมใจให้หนักอึ้งเพิ่มขึ้นอีกทำไม บางอย่างถ้าวางได้ก็วางเสียบ้าง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
15/10/53