คนที่เลี้ยงดูมารดาบิดา แม้จะเป็นคนยากจนเข็ญใจหาเช้ากินค่ำอย่างไรก็ตามแต่หากเลี้ยงดูบิดามารดาตามสมควรแก่ฐานะก็สามารถส่งผลให้ไปบังเกิดในสวรรค์ได้ ส่วนผู้ที่มีแม่ซึ่งเปรียบเหมือนกับพระในบ้าน แต่กลับไม่เคยมองเห็นคุณธรรมของแม่เลย มักจะนำแต่เรื่องยุ่งยากวุ่นวายมาให้ท่านก็ลองพิจารณาเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของคนที่เลี้ยงมารดาบิดาจากในอดีตสองเรื่องจากสองประเทศ เรื่องหนึ่งเกิดในสมัยพุทธกาล อีกเรื่องเกิดในประเทศจีน ส่วนเมืองไทยคิดว่าหลายคนคงรำลึกนึกถึงบุญคุณของแม่ดีอยู่แล้ว เพราะยิ่งใกล้วันแม่ก็เห็นมีกิจกรรมเกี่ยวกับคนที่รักแม่ตามสื่อต่างๆมากมายอยู่แล้ว
คนที่เลี้ยงดูมารดาบิดาย่อมบันเทิงในโลกสวรรค์ดังเรื่องของชายยากจนคนหนึ่งซึ่งมีปรากฎในอรรถกถาจิตตลดาวิมาน ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม 2 ภาค 1 หน้า 579 ความว่า ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ วิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี สมัยนั้นในกรุงสาวัตถีมีอุบาสกคนหนึ่งเป็นคนยากจน มีโภคะน้อย รับจ้างทำงานของผู้อื่นเลี้ยงชีพ เขาเป็นคนมีศรัทธาปสาทะ เลี้ยงดูมารดาบิดาซึ่งแก่เฒ่า เขาคิดว่า ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงมีสามีมักแสดงตัวเป็นใหญ่ที่ประพฤติให้ถูกใจแม่ผัวพ่อผัวหายาก เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนใจของบิดามารดาเขาจึงไม่แต่งงานเลี้ยงดูท่านเสียเอง รักษาศีลถืออุโบสถ ให้ทานตามกำลังทรัพย์ เขาเลี้ยงบิดามารดาโดยไม่แต่งงานจนกระทั่งเสียชีวิตด้วยผลของการประพฤติเช่นนั้นจึงทำให้เขาได้ไปบังเกิดในวิมานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเทพบุตรมีผิพรรณงดงามยิ่งนัก
ครั้งหนึ่งท่านพระมหาโมคคัลลานะท่องเที่ยวไปสวรรค์ เมื่อพบกับเทพบุตรนั้น จึงได้สอบถามเทพบุตรถึงกรรมที่ทำไว้ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า “สวนจิตรลดาเป็นสวนประเสริฐที่สุด สูงสุดของทวยเทพชั้นไตรทศ ย่อมสว่างไสวฉันใดวิมานของท่านนี้ก็อุปมาฉันนั้น สว่างไสวอยู่ในอากาศ ท่านได้เทพฤทธิ์มีอานุภาพมาก ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญกรรมอะไรท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ
เทพบุตรนั้นดีใจเมื่อได้ยินพระโมคคัลลานะถาม จึงได้เล่าผลของกรรมที่ทำให้มีผลอย่างนี้ว่า "เมื่อครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก ข้าพเจ้าเป็นคนยากจน ไม่มีที่พึ่ง ยากไร้ เป็นกรรมกรเลี้ยงดูบิดามารดาผู้แก่เฒ่า อนึ่งสมณะผู้มีศีลได้เป็นที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใสเมื่อบริจาคข้าวและน้ำได้ถวายทานอย่างไพบูลย์โดยเคารพ เพราะบุญนั้น ข้าพเจ้าจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญนั้นผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ข้าพเจ้า และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ข้าพเจ้า เพราะบุญนั้นข้าพเจ้าจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของข้าพเจ้าจึงสว่างไสวไปทุกทิศ" คำบอกเล่าของเทพบุตรโดยผ่านการพูดคุยกับพระมหาโมคคัลลานะผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศกว่ากว่าภิกษุทั้งหลายด้วยฤทธิ์ ท่านจึงชอบไปเที่ยวยังนรกสวรรค์และนำเรื่องมาบอกเล่าให้มนุษย์ฟังเป็นอุทาหรณ์
มีเรื่องเล่าว่าทีเมืองจีน ณ เชิงเขาแห่งหนึ่งมีมารดาคนหนึ่งเลี้ยงดูลูกชายเกเร ไม่ทำการงานชอบเที่ยวเกะกะระรานชาวบ้าน แต่แม่ก็ยังรักเอ็นดู คอยเอาใจใส่ดูแลลูกชายจนกระทั่งโตเป็นหนุ่ม บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่งหลวงพ่อจำพรรษามานาน วันหนึ่งเจ้าลูกชายได้ขึ้นไปเที่ยวยังวัดแห่งนั้นได้เห็นพวกคนรวยพากันกราบไหว้พระพุทธรูปเล็กๆตามซอกเขาก็เกิดความคิดว่าสาเหตุที่คนพวกนี้รวยน่าจะมาจากการกราบไหว้พระนี่เอง จึงเข้าไปหาหลวงพ่อและขอพระพุทธรูปเพื่อไปกราบไหว้บูชาที่บ้านสักองค์หนึ่ง เพื่อจะได้ร่ำรวยเหมือนคนทั้งหลายบ้าง
หลวงพ่อบอกว่าการจะกราบไหว้อ้อนวอนพระแล้วจะทำให้รวยนั้น มิใช่วิธีการที่ถูกต้อง ก็ที่บ้านเจ้ามีพระอยู่แล้ว กลับไปเคารพสักการะให้ดีเถิดแล้วเจ้าจะเจริญก้าวหน้าเอง หนุ่มนั้นทำหน้างงพลางเถียงหลวงพ่อว่า ที่บ้านผมไม่เคยมีพระไว้บูชาสักองค์เดียว ผมอยู่บ้านนั้นมาตั้งแต่เด็กจนโต หลวงพ่อจะบอกว่ามีพระได้อย่างไร
หลวงพ่อก็ยังยืนยันว่ามีพระอยู่จริง “กลับบ้านเถอะเมื่อเจ้าเคาะประตูพระที่บ้านจะออกมาเปิดประตูให้เจ้า ด้วยความรีบร้อนจะใส่รองเท้าผิดข้าง แถมยังสวมเสื้อผิดด้านเอาด้านในออกด้านนอก นั่นแหละพระที่อยู่ประจำบ้านของเจ้า
ชายหนุ่มคนนั้นจึงรีบกลับบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บหิมะตกหนัก เขาทั้งหนาวสั่นมาตลอดทาง พอไปถึงบ้านก็รีบเคาะประตู ทันใดนั้นแม่ที่รอลูกชายกลับบ้านก็รีบออกมาเปิดประตูทันที ด้วยความรีบร้อนจึงสวมรองเท้าผิดข้าง เสื้อที่ใส่ก็เอาข้างในออกข้างนอก พอเห็นหน้าลูกแม่ก็รีบพาเข้าบ้านพลางถามด้วยความห่วงใย กินข้าวมาหรือยังลูก หนาวไหม เดี๋ยวแม่จะหาข้าวน้ำมาให้ลูกกิน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย ไม่มีคำดุด่าลูกเลยสักคำ
ชายหนุ่มคนนั้นจึงได้คิดว่า แท้ที่จริงแล้วเขามีพระอยู่ในบ้านมานานแล้ว แต่ไม่เคยกราบไหว้ให้สมกับความเป็นห่วงเป็นใยของแม่ที่มีจิตใจเปรียบเหมือนพระที่บ้านเลย หากจะดูว่าแม่รักลูกหรือไม่ให้ดูที่ความรัก ดูที่ความเป็นห่วง ดูที่ความเสียสละที่แม่มีต่อลูก จากวันนั้นเป็นต้นมาเขาก็ทำมาหากินโดยสุจริตเชื่อฟังคำสอนของท่านและเลี้ยงดูมารดาเหมือนมีพระอยู่ในบ้าน
เรื่องเล่าจากประเทศจีนจบลงเพียงแค่นี้ไม่ได้บอกว่าตายไปแล้วชายหนุ่มคนนั้นไปเกิดในสวรรค์หรือไม่ แต่บุคคลผู้เลี้ยงดูมารดาบิดาย่อมมีคติที่ดี ดังที่ปรากฎในตักกลชาดก ขุททกนิกาย ชาดก (27/1406/262)ความว่า"ผู้ใดบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาด้วยข้าวน้ำ ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้าย่อมเข้าถึงสุคติ โดยไม่ต้องสงสัย"
ส่วนผู้ที่เบียดเบียนมารดาบิดย่อมมีคติตรงกันข้ามดังที่ปรากฎในตักกชาดกเรื่องเดียวกันว่า “ผู้ใดเป็นคนมีธรรมอันลามก เบียดเบียนมารดาหรือบิดาผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า ต้องเข้าถึงนรกโดยไม่ต้องสงสัย"
ตอนที่ยังเป็นมนุษย์อาจจะไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แต่เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะถ้าไม่มีอยู่จริงเราก็ได้เลี้ยงมารดาบิดาซึ่งเป็นธรรมของคนดีอย่างหนึ่ง ถ้านรกสวรรค์มีอยู่จริงๆตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา คนที่เลี้ยงดูมารดาบิดาก็จะได้ไปสวรรค์ตามที่ท่านแสดงไว้ หากคิดได้ตอนใกล้ตาย แม้อยากจะทำกุศลก็อาจจะทำไม่ทัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/08/53