โลกที่เปลี่ยนไปตามแรงถ่วงของเชื้อโรคร้ายที่เรียกว่าโควิด มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต เปลี่ยนความเคยชินที่เราคุ้นเคย เปลี่ยนวิธีการทำงานจากที่เคยทำงานในที่ทำงาน มาเป็นการทำงานทางออนไลน์ โลกในยุคนี้สนับสนุนให้ต่างคนต่างอยู่ ยิ่งอยู่ห่างกันได้มากเท่าไหร่ก็จะทำให้ห่างไกลโรคมากเท่านั้น โลกที่เคยเห็น โลกที่เคยรู้ โลกที่อยู่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป ข่าวที่มีคนติดเชื้อวันละหลายหมื่นคน มีจำนวนคนเสียชีวิตจำนวนวันละหลายร้อยคน เมรุเผาศพในแต่ละแห่งทนสภาพไม่ไหว พังทลายไปหลายแห่งแล้ว มีผลทำให้ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจของผู้คนมากขึ้นทุกวันเช่นกัน
ทุกคนตกอยู่ในสภาพของความกลัว เพราะจากสสถานการณ์ที่ได้ยินได้ฟังทำให้ความกลัวปรากฏขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ความกลัวสารพัดเข้ามารบกวนจิตใจ เราจะติดเชื้อเมื่อไหร่ ผู้คนที่อยู่ใกล้ตัวมีใครติดเชื้อบ้าง จะอยู่อย่างไร จะดำเนินชีวิตอย่างไร ยังกลายเป็นคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้
ช่วงนี้ก็ต้องเลือกเอาจะอยู่อย่างไร สถาบันการศึกษาก็ต้องอนุวัตรตามสถานการณ์ ต้องเรียนรู้ระบบการทำงานทางออนไลน์ไว้ จะได้ทำงานได้ คนกลุ่มนี้คงมีผลกระทบไม่มากนัก เพราะไม่ต้องเดินทางไปพบปะผู้คนมากนัก แค่อยู่ในห้องมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็ทำงานได้แล้ว อีกอย่างเงินเดือนก็ยังคงได้รับตามปรกติ แม้ว่าบางแห่งจะลดจำนวนลงบ้าง แต่ก็ยังพอปรับตัวทัน ส่วนผู้ที่มีผล กระทบอย่างมากคือผู้ที่ทำงานรายวัน เมื่อไม่ได้ทำงานรายได้ก็ไม่มี อาหารการกินยังต้องซื้อ สิ่งของก็ยังต้องใช้ กลายเป็นภาระที่จะต้องหาทางรอดให้ได้
ข้าพเจ้าก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดครั้งนี้เหมือนกัน หน่วยงานทางราชการขอใช้พื้นที่อาคารที่พักเพื่อใช้เป็นศูนย์พักคอยผู้ติดเชื้อโควิด ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกวัน ก็ต้องหาที่พักใหม่ บังเอิญมีกุฏิว่างอยู่หลังหนึ่งในสวนป่าหลังวัด ก็ได้แค่เครื่องใช้ที่จำเป็นพอให้อยู่ได้ ส่วนสิ่งของอย่างอื่นก็ยังอยู่ที่พักเดิม เพราะมีความความคิดว่าอีกไม่นานคงได้กลับไปอยู่ที่เดิม
วันเวลาผ่านไปนานหลายดือนแล้ว นอกจากจะไม่มีวี่แววว่าจะได้กลับ ยังไม่กล้าเข้าห้องพักเก่าเลย เพราะมีจำนวนผู้ป่วยพักอยู่เต็มอาคาร วันหนึ่งตั้งใจว่าจะไปเอาสิ่งของบางอย่างที่มีความจำเป็นต้องใช้ เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลบอกว่า “หากไม่จำเป็นจริงๆ อย่าเสี่ยงเลยครับ เพราะที่นั่นมีแต่คนติดเชื้อ หากเราเผลอติดขึ้นมาจะเสียทั้งเวลาและอาจจะเสียชีวิตด้วย”
มาพิจารณาสมบัติที่เรามี นอกจากบริขารเครื่องใช้ประจำวันแล้ว ก็มีเครื่องมือทำงานที่พอใช้ได้ แม้จะไม่ค่อยสะดวกมากนัก โทรศัพท์เครื่องหนึ่ง โน็ตบุคเครื่องหนึ่ง ส่วนเครือข่ายก็ใช้อินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์ ก็ใช้ในการเรียนการสอนระบบออนไลน์ได้
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมิใช่อยู่ที่สิ่งที่เราคิดว่าจำเป็น แต่อยู่ที่การใช้งานสิ่งที่มีอยู่ต่างหาก ช่วงนี้หนังสือไม่ต้องอ่านก็ได้ โทรทัศน์ไม่ดูก็ได้ แค่มีโทรศัพท์ก็ใช้งานได้แล้ว สิ่งที่เรามี กลับสิ่งที่เราใช้ มันไม่ค่อยจะไปด้วยกัน มีมากแต่ใช้น้อย ส่วนที่เหลือกลายเป็นความฟุ่มเฟือย เพราะหากอยู่ที่ใดติดต่อกันนานๆสิ่งของที่มีความจำเป็นจะเพิ่มขึ้น ทั้งๆที่บางอย่างไม่มีก็ได้ แต่ที่มีเพราะเราพยายามตอบสนองความต้องการของเราเอง ที่อยากได้ อยากมี ซึ่งไม่เคยพอสักที บางอย่างซื้อมาแล้วก็ทิ้ง เมื่อเราได้สิ่งที่ต้องการตามความอยาก บางคนอาจจะเรียกว่าความสุข แต่ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน
ความสุขนั้นอยู่ที่เรานิยามความสุขว่าอย่างไร คำว่า “สุข” ภาษาบาลี แปลว่า แห้ง ความสุข
ส่วนพจนานุกรมภาษาไทยให้ความหมายไว้ว่า “สุข” แปลว่า ความสุข ความสบาย ความสำราญ คำที่ใกล้เคียงคือ สำราญ สบาย สุขี สุโข สุโขสโมสร คำตรงข้ามคือ “ทุกข์ โศก”
เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ จะว่าสบายก็ไม่เชิง จะว่าไม่สบายก็ไม่ใช่ มันอยู่ระหว่าสบายกับไม่สบาย ไม่ได้เอนเอียงไปทางไหนมากกว่ากัน ที่ว่าสบายคือเท่าที่มีอยู่ก็พอไปได้ ที่ว่าไม่สบายคือถ้ามีสิ่งที่ต้องการอีกสักนิดก็คงจะดี
ความสุขหรือความทุกข์น่าจะอยู่ที่คำสั้นๆว่า “พอ” ถ้าพอใจในสิ่งที่เรามี ยินดีในสิ่งที่เราได้ ใช้สอยทุกอย่างที่เรามี และยินดีในสิ่งที่เราเป็น ความสุขหรือความทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ที่เราเดือดร้อนเพราะสิ่งที่เราอยากได้เราไม่มี แต่สิ่งที่เรามีเราไม่พอใจ ผลที่เกิดขึ้นคือใจไม่รู้จักพอ ความไม่สบายก็ก่อเกิด ถ้าอยู่กับสิ่งที่เรามี ยินดีกับสิ่งที่เราทำ ชีวิตธรรมดาก็มีความสุขได้
หากจะนิยามความสุขในทัศนะของข้าพเจ้าน่าจะเป็นไปในทำนองนี้คือ ความสุขคือการอยู่กับความเป็นธรรมดาได้ พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็น ไม่ต้องเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่ต้องเอาฐานะทางการเงินมาวัดค่าของความเป็นมนุษย์ จะรวยหรือจนก็กินแค่อิ่ม นอนหลับไม่ต่างกัน แม้ว่าอาหารจะเลิศรสมีราคาแพง แต่ความอิ่มไม่ต่างกัน เพราะในที่สุดก็ต้องขับถ่ายออกเหมือนกัน ช่วงนี้ไม่ต้องหลบลี้หนีโควิดไปที่ไหนอีก แค่อยู่กับที่ให้ได้ ดำเนินชีวิตตามธรรมดานี่แหละ อิ่มบ้างในบางครั้ง อดบ้างในบางวัน ก็สามารถดำเนินชีวิตให้มีความสุขได้ ความสุขอยู่ที่รู้จักพอ แค่ชะลอความอยากได้ อยากมี อยากเป็นไว้ให้ได้ ใจก็เป็นสุข แค่พอใจในสิ่งที่เราเป็นก็เห็นความสุขแล้ว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
18/08/64