ความเคยชินเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความคิดหยุดชะงัก เพราะไม่มีอะไรแปลกใหม่ทำแต่สิ่งเดิมๆทำเหมือนเดิมเหมือนชีวิตเป็นเครื่องยนต์กลไกอะไรสักอย่าง เช้าออกไปทำงานจากนั้นก็วุ่นอยู่กับการงานที่ไม่มีวันจบสิ้น งานนี้เสร็จอีกงานก็เข้ามา หมดเวลาทำงานตามที่กำหนดไว้ก็เดินทางกลับ เปิดโทรทัศน์ดูข่าว ดูหนัง ดูละครไปตามเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องก็ดูไม่ค่อยจบ บางวันมีกีฬาให้ดูก็พอเป็นการพักผ่อนได้บ้าง จากนั้นถึงเวลานอนหลับพักผ่อน พรุ่งนี้ก็ทำงานในรูปแบบเดิม วัฏจักรของชีวิตเป็นไปดั่งนี้ หากชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงบ้างในบางโอกาส ชีวิตน่าจะมีทางเลือกมากขึ้น งานเราทำเพราะหาเงิน แต่การได้อยู่ในที่ที่เราชอบคือการได้ใช้ชีวิต
มีเวลาช่วงวันหยุดคิดต่อกันหลายวันได้กลับไปเยี่ยมญาติพี่น้อง แม่ยังมีชีวิตอยู่ น้องชาย น้องสาว ต่างก็มีครอบครัวมีลูกกันหมดแล้ว หลานๆทั้งหลายก็เดินทางเข้าเมืองใหญ่เพื่อศึกษาเล่าเรียน ชีวิตหมุนเวียนไปตามวัฏจักรของการเป็นนักเรียนนักศึกษา ปล่อยให้พ่อแม่ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนทำงานอยู่ในไร่เพื่อหาเงินส่งให้ลูกเรียนตามวิถีแห่งโลกยุคใหม่ที่จะต้องส่งลูกให้เรียนสูงๆ ยิ่งเรียนได้สูงเท่าไหร่ยิ่งดี จากนั้นพวกก็ไม่กลับมาช่วยพ่อแม่ทำนา ทำไร่อีกต่อไป
บ้านแม่และน้องสาวมิใช่บ้านเกิดที่เคยคุ้นชิน ไม่เคยได้อยู่บ้านแห่งนี้ เพราะพ่อพาครอบครัวย้ายบ้านหนีน้ำท่วมซึ่งบ้านเก่าอยู่ปลายเขื่อนน้ำค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นทุกปีและบ่าท่วมกินพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ หมู่บ้านหลังเขื่อนบางแห่งต้องจมอยู่ใต้น้ำ มิใช่แค่บ้านแต่ไร่นาที่เคยทำมาหากินมาแต่บรรพบุรุษก็ได้กลายเป้นพื้นที่ส่วนหนึ่งของเขื่อนไปด้วย นี่คืออีกด้านหนึ่งของการมีเขื่อน
พ่อจึงตัดสินใจย้ายบ้านหนีน้ำท่วมเข้าป่าเพื่อที่จะไม่ต้องประสบกับปัญหาน้ำท่วมอีกต่อไป บ้านใหม่แห่งนี้จึงอยู่ใกล้ภูเขา มีป่าและภูเขาล้อมรอบ หมดปัญหาเรื่องน้ำท่วม แต่กลับมีปัญหาเรื่องการทำมาหากิน คนที่คุ้นชินอยู่กับน้ำ แต่ต้องมาทำมาหากินอยู่กับพื้นที่ป่าและภูเขา อาหารก็เปลี่ยนไป วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไป
ผู้เขียนหนีจากบ้านเก่ามานานเกือบสี่สิบปีแล้ว ตั้งแต่หนุ่มจนเริ่มเข้าวัยชรา ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อย มีชีวิตเป็นคนไม่มีบ้าน ชีวิตก็มีความสุขดี การเดินทางบ่อยๆมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือสมบัติก็มีไม่มากเพราะต้องย้ายที่บ่อย ขนย้ายไปด้วยไม่ไหว ส่วนหนึ่งต้องสละทิ้งไว้ เหลือไว้แต่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เท่านั้น
แต่ปัจจุบันๆอายุมากขึ้นไปไหนไม่ค่อยได้จึงพักอาศัยอยู่เป็นหลักแหล่งมานานกว่าสิบปีแล้ว มีงานทำประจำ ห้องที่เคยว่างเปล่าก็เริ่มจะรกขึ้นเต็มไปด้วยสิ่งของที่ไม่จำเป็นมากขึ้น บางอย่างไม่มีความจำเป็นต้องใช้เลยแต่ก็ยังเก็บไว้ ถ้าเป็นประเภทหนังสือก็บริจาคให้โรงเรียนและวัดในต่างจังหวัด อีกไม่นานห้องคงว่างเปล่าเหมือนชีวิตที่เริ่มจะปล่อยว่างมากยิ่งขึ้น
หลังจากได้สนทนาปราศรัยกับแม่และน้องสาวแล้วก็เข้าไปพักที่วัดป่าซึ่งมีถ้ำอยู่ถึงสามถ้ำ จะพักถ้ำไหนก็ได้ หรือหากจะพักนอกถ้ำก็เป็นกุฏีที่แทรกตัวอยู่ในหมู่ไม้ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใดๆ มีเพียงกุฏิโล่งๆในท่ามกลางป่าไผ่และหมู่แมกไม้นานาพรรณ
คำว่า "กุฏิ" ในภาษาบาลีเป็นคำนามอิตถีลิงค์ (เพศหญิง)แปลว่า "กุฎี กระท่อม ที่อยู่ของพระ" ส่วนคำว่า "กุฎี" เป็นคำนามอิตถีลิงค์เหมือนกันแปลว่า "กระท่อม ห้องเล็ก เพิง" ทั้งคำว่า "กุฏิ" และ "กุฎี"มักจะนิยมเรียกเป็นที่อยู่ของพระ แต่ความหมายที่ต้องการสื่อความหมายคือ "กระท่อมหลังเล็กๆ" หรือ "กุฎีพระ" จะใช้คำว่า "กุฏิ" หรือ "กุฎี" ก็สื่อความหมายไปในทางเดียวกัน
ตะวันพึ่งลับขุนเขาหายลับไปจากขอบฟ้า เสียงแมลงเริ่มส่งเสียงร้องระงมป่า แม้จะมียุงมารบกวนอยู่บ้าง แต่วิธีแก้ปัญหาคือหาใบไม้แห้งมาสุมไฟพอให้มีควันไล่ยุงได้ ยุงได้กลิ่นควันก็ไม่มารบกวนแล้ว ฟ้าค่อยๆมืดมิด ลมพัดกอไผ่เสียดสีประหนึ่งเสียงเพลงบรรเลงจากขุนเขา นั่งฟังเสียงแห่งพงไพรอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ ป่าไม้กำลังบอกอะไร ฝูงแมลงกลางคืนกำลังเรียกหาอะไร แม้จะฟังไม่ออก แต่ในจิตสัมผัสเหมือนกำลังได้ยินเสียงร้องทุกข์จากสัตว์ทั้งหลายว่าที่อยู่อาศัยของพวกเขากำลังถูกรุกรานจนต้องถอยร่นเข้าวัด ที่ไร่ที่นาที่เคยเป็นแหล่งหาอาหารก็ถูกอาบด้วยยาฆ่าแมลง ยาปราบศรัตรูพืช เข้าไปไม่ได้เหมือนในอดีต จึงต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยวัด ซึ่งก็ไม่ค่อยมีอาหารให้เลือกหามากนัก กล้วยป่า ผลไม้ป่ายังพอมีให้พอยังประทังกายได้บ้าง
หนูนาหลายตัวโผล่หน้าออกมาทักทาย จากนั้นก็วิ่งพล่านไปตามที่ต่างๆคงกำลังหิว แต่วันนี้ฉันเองก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน มีเพียงน้ำดื่มและน้ำร้อนที่ต้มจากกองไฟเพื่อชงกาแฟและน้ำชา ไม่อาจจะแบ่งปันอะไรได้มากนัก หนูนาเหล่านั้นเมื่อไม่ได้อาหารก็หายเข้าป่า
กองไฟมอดดับไปแล้ว แสงเดือนแสงดาวส่องสกาวบนท้องนภากาศ อากาศเริ่มเย็นลง หยิบจีวรขึ้นมาห่มคลุม นั่งพิจารณาทบทวนความเป็นไปของชีวิตเงียบๆคนเดียวในท่ามกลางขุนเขาและเงาไม้
ชีวิตดำเนินมาจนป่านนี้ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้คือการศึกษา ซึ่งศึกษาเรียนรู้เท่าที่สามารถจะเรียนได้ ช่วงแรกเรียนตามคำขอร้องของหลวงพ่อ ต่อมาเรียนตามคำเรียกร้องของตนเอง จนกระทั่งจบการศึกษาในระดับสูงสุดเท่าที่มีอยู่ในประเทศนี้ จากนั้นก็เริ่มทำงานสอนคนอื่นให้ได้วิชาตามที่สาขาที่เรียนมา เรียนจบแล้วแต่ต้องมาทำงานตามสาขาวิชาที่ได้ศึกษามา ตอนนี้ผ่านมาหลายปีความคิดเริ่มอ่อนล้าน่าจะออกแสวงหาความสงบ สร้างสันติให้กับชีวิตได้แล้ว
ดึกมากแล้วอากาศเหน็บหนาวมากขึ้น เสียงแมลงก็เงียบเสียง มีเพียงเสียงกอไผ่ที่เสียดสีกันฟังไม่ได้ทำนองอะไร แต่กลับรู้สึกเพลิดเพลิน บทเพลงที่ไม่ได้เรียบเรียงเสียงประสาน ไม่มีคำร้อง ไม่มีดนตรี เป็นเพียงบทเพลงแห่งพงไพรที่ไร้ทำนอง แต่เหตุใดกลายเป็นบทเพลงที่ฟังแล้วสบายใจ
ในห้วงแห่งจินตนาการเหมือนได้ยินเสียงจากราวป่าแว่วเข้ามาว่า ชีวิตอยู่อย่างธรรมดาปล่อยเวลาให้ผ่านไป ไม่ต้องฝืนไม่ไต้องแข่งกับใคร ทำตัวกลมกลืนกับสิ่งที่มีอยู่ ต้นไผ่แตกหน่อแผ่ขยายไปเรื่อยๆ ต้นเก่าแห้งเหี่ยวและตายไป แต่ต้นใหม่เกิดขึ้นมาแทน จากไผ่ต้นเดียวเมื่อหลายปีก่อนบัดนี้กลายเป็นป่าไผ่ที่มีอาณาเขตแผ่ขยายไปทั่วป่า แต่ต้นไผ่ไม่เคยเรียกร้องหาความยุติธรรมใดๆ ยังคงอยู่และขยายพันธุ์ต่อไป ชีวิตปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น จะดิ้นรนแสวงหาอะไรกันนักหนา เราอยู่ในโลกนี้อีกไม่นานก็ต้องจากไปเหมือนกับไผ่ต้นแรกที่แทรกดินขึ้นมาในราวป่า แต่ป่าไผ่กลับยังอยู่ แม้ว่าเราจะจากไปแต่มวลมนุษยชาติก็ยังคงอยู่ ธรรมดาเป็นไปอย่างนี้
ลมสงัด ป่าสงบ กุฏิน้อยกลางป่าก็เงียบสงัด มีเพียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของภิกษุวัยใกล้ชรารูปหนึ่งที่ยังไม่ยอมหลับใหล
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
21/12/61