ฝนตกติดต่อกันมาหลายวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะตกช่วงเวลาที่กำลังเลิกงาน ตอนเย็นๆฝนมักจะมาทุกที จนมีคำเรียกขานของชาวเมืองว่า “ฝนราชการ” ปัญหาที่ตามมาคือน้ำท่วม ที่ชาวกรุงเทพมักจะเรียกว่าน้ำรอการระบาย บางวันฝนตกหนักน้ำรอการระบายจนผ่านไปอีกสองสามวันก็ยังระบายไม่หมด ผู้คนที่มีถิ่นพำนักในกรุงเทพ ที่ชาวต่างประเทศเรียกบางกอก เมืองหลวงของประเทศไทยก็ต้องทุกข์ทนเพราะต้องอดทนกับน้ำรอการระบาย
เกือบหกโมงเย็นแล้วฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ยังคงเทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ตกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ได้สังเกตเพราะทำงานอยู่ในห้องแอร์ นั่งปรึกษาสนทนาเรื่องการเขียนวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา บังเอิญวันนี้นัดกันมาหลายคน กว่าจะได้ประเด็นในการเขียนเวลาก็ล่วงเลยมาจนค่ำมืด ปิดประตูตั้งใจจะกลับวัดก็พบกับฝนที่กำลังพรั่งพรูสาดกระหน่ำลงมาอย่างสบายใจ ปกติฝนตกแล้วมักจะดี เพราะอากาศเย็นสบาย คิดถึงชาวไร่ชาวไร่ชาวนาคงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีฝนมาน้ำนอง ข้าวก็งอกงาม
แต่อีกทางหนึ่งหากฝนตกหนัก น้ำมากจนเกินไป ก็ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนได้ ไปไหนมาไหนไม่สะดวก น้ำท่วม ถนนหนทางถูกดินโคลนถล่ม ฝนไม่ได้มีแต่ประโยชน์อย่างเดียวยังมีโทษที่เกิดจากฝนตกด้วย หากพิจารณาดีๆ ทุกสรรพสิ่งล้วนมีทั้งด้านดีและด้านร้าย ส่วนที่ดีเพียงส่วนเดียวคงหาได้ยาก
ต้องเดินผ่าสายฝนมาขึ้นรถแท็กซี่กลับวัด เวลาผ่านไปเรื่อยๆ รถก็ยังไม่มา ปกติจะเรียกรถทางโทรศัพท์ ถ้าไม่มีอะไรภายในสิบนาทีก็มาถึงแล้ว แต่ในวันที่ฝนตกอย่างนี้ผ่านไปแล้วสามสิบนาทีรถก็ยังไม่มา ทางฝ่ายผู้ให้บริการรถบอกว่า “วันนี้รถหายากครับ รออีกสักยี่สิบนาทีนะครับ หากรถยังไม่มาผมจะแจ้งให้ทราบ”
ตอนนั้นเกิดคำถามขึ้นใจว่า รออยู่กับที่กับเดินไปหารถอันไหนน่าจะมีโอกาสมากว่า และได้บทสรุปด้วยตนเองว่า “เดินฝ่าสายฝนไปเรียกรถที่ถนนใหญ่ น่าจะมีโอกาสมากว่า” จากนั้นก็เริ่มเดินเท้าเปล่าลุยน้ำฝนไปยังถนนใหญ่ ระยะทางประมาณสองกิโลเมตร เดินผ่านอาจารย์ท่านหนึ่งเอ่ยทักขึ้นว่า “รองเท้าอาจารย์หายไปไหน ทำไมเดินเท้าเปล่า ไม่กลัวจะเหยียบหนามหรือครับ” โดยที่ไม่รอคำตอบอาจารย์ท่านนั้นก็บ่นขึ้นมาดังๆว่า “ฝนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ตกไม่รู้จักเวลาเวลา” จากนั้นก็เดินผ่านไป
ยังคงเดินยิ้มไปกลางสายฝน คิดในใจว่าจะไปด่าฝนทำไม ก็มันฤดูฝน ฝนตกนะถูกแล้ว ถ้าฝนไม่ตกก็ด่าฝนอีก ตกลงว่าฝนตกก็ถูกด่า ฝนไม่ตกก็ถูกด่า ซึ่งก็ไม่รู้ด่าใคร เพราะฝนก็ไม่ได้รับรู้อะไรกับคนด่าเลย จะด่าหรือไม่ด่าฝนก็ตกตามธรรมดา ธรรมชาติเป็นไปอย่างนี้
แม้ระยะทางจะไกลโขอยู่ อีกอย่างเดินเท้าเปล่าลุยน้ำไปด้วย แต่อารมณ์กลับรู้สึกเพลิดเพลิน คิดถึงตอนเป็นเด็ก ฝนตกอย่างอย่างวิ่งเล่นน้ำอย่างสบายใจ ไม่เกรงฟ้ากลัวดิน ฝนจะตกฟ้าจะร้องก็ไม่ได้เดือดร้อนใจ บางวันยังไถนาอยู่กลางทุ่งนาด้วยซ้ำ ทำงานตามเวลาโดยไม่ได้คำนึงถึงหนาวหรือร้อน สุขภาพก็ยังแข็งแรงดี ไม่ค่อยเจ็บป่วย แต่ปัจจุบันพอเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ตากแดดตากฝนนิดเดียวกลับป่วยไข้ได้ง่ายๆ ภูมิต้านทานน้อยลงหรือโรคภัยมากขึ้นก็ไม่รู้
สิ่งที่มนุษย์ไม่อยากพบคือความทุกข์ สิ่งที่มนุษย์ต้องการและปารถนาคือความสุข แต่สุขกับทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องพบอยู่เป็นประจำ แม้ไม่อยากพบก็ต้องพบ เมื่อประสบทุกข์ก็ต้องทำความเข้าใจว่าทุกข์คือสิ่งที่ควรกำหนดรู้ รับรู้ไว้และทำความเช้าใจยอมรับ ปรับสภาพของชีวิตให้ดำเนินไปให้ได้ จะเรียกว่าสบตากับความทุกข์ก็ได้ อย่ากลัวทุกข์ และอย่าขยายทุกข์ ปล่อยให้มันเป็นไปตามสภาวะ เพียงแต่ต้องรู้ท่าทัน ทำได้อย่างนี้ทุกข์ก็เบาบางแล้ว อย่างกรณีฝนตก แม้จะทุกข์ร้อนไปเพียงใด ฝนก็ไม่ได้ยินยังคงทำหน้าที่ไปตามสภาวะ อยากให้ฝนหยุดตามใจเราก็ไม่ได้ อยากให้ฝนตกเป็นเวลาก็ไม่ได้อีก จะตกก็ตกไปเราก็ยิ้มได้แม้อยู่กลางสายฝน เมื่อเข้าใจสภาวะของความทุกข์ ความสุขก็จะก่อเกิดขึ้นมาเอง
ความสุขในพระพุทธศาสนานั้นมีแสดงไว้หลายระดับมีปรากฏในสุขวรรค อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาตความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุขสองอย่างนี้คือ สุขของคฤหัสถ์ สุขเกิดแต่บรรพชา ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุขสองอย่างนี้แลดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสุขสองอย่างนี้ สุขเกิดแต่บรรพชาเป็นเลิศ .... กามสุข เนกขัมมสุข เนกขัมมสุขเป็นเลิศ สุขเจือกิเลส สุขไม่เจือกิเลส สุขไม่เจือกิเลสเป็นเลิศ สุขมีอาสวะ สุขไม่มีอาสวะ สุขไม่มีอาสวะเป็นเลิศ สุขอิงอามิส สุขไม่อิงอามิส สุขไม่อิงอามิสเป็นเลิศ, สุขของพระอริยเจ้า สุขของปุถุชน สุขของพระอริยเจ้าเป็นเลิศ กายิกสุข เจตสิกสุข เจตสิกสุขเป็นเลิศ สุขอันเกิดแต่ฌานที่ยังมีปีติ สุขอันเกิดแต่ฌานที่ไม่มีปีติ สุขอันเกิดแต่ฌานไม่มีปีติเป็นเลิศ สุขเกิดแต่ความยินดี สุขเกิดแต่ความวางเฉย สุขเกิดจากการวางเฉยเป็นเลิศ สุขที่ถึงสมาธิ สุขที่ไม่ถึงสมาธิ สุขที่ถึงสมาธิเป็นเลิศ สุขเกิดแต่ฌานมีปีติเป็นอารมณ์ สุขเกิดแต่ฌานไม่มีปีติเป็นอารมณ์ สุขเกิดแต่ฌานไม่มีปีติเป็นอารมณ์เป็นเลิศ สุขที่มีความยินดีเป็นอารมณ์ สุขที่มีความวางเฉยเป็นอารมณ์ สุขที่มีความวางเฉยเป็นอารมณ์เป็นเลิศ สุขที่มีรูปเป็นอารมณ์ สุขที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุขสองอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสุขสองอย่างนี้ สุขที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์เป็นเลิศ (องฺ ทุก. 20/ 309- 321/74-75.)
ในวันที่เดินเท้าเปล่าฝ่าสายฝนยามเย็น แม้ฝนจะตกหนักก็ไม่ทำให้เกิดความกังวลใดๆเลย เดินไปตามธรรมดา ฝนตกเรื่องของฟ้า เรื่องของฤดูกาล แต่การกำหนดรู้ การพิจารณาสภาวธรรมเป็นเรื่องของเรา สรรพสิ่งทั้งหลายเมื่อเกิดขึ้นก็ย่อมดับไป คิดในใจว่า “ช่างหัวมัน” อารมณ์ก็เพลิน เดินก็สบาย อมยิ้มไปท่ามกลางสายฝน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
5/9/61