บ่ายวันอาทิตย์เกิดความรู้สึกไม่อยากอยู่ในห้อง ไม่อยากพบเห็นกับความซ้ำซากจำเจที่เห็นและสัมผัสอยู่ทุกวัน ครั้นจะอ่านหนังสือก็ไม่มีอารมณ์ที่อยากอ่าน อ่านไปได้สักพักก็ต้องวาง ครั้นจะเขียนหนังสือก็เขียนได้ไม่กี่บรรทัด ไม่รู้จะเขียนต่ออย่างไรดี อาการแบบนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีเวลาว่างนานเกินไป อยู่กับสิ่งที่คุ้นเคยนานเกินไป ช่วงเวลาหลังเที่ยงวันอากาศในห้องร้อนอบอ้าวมากเกินไป ครั้นจะเดินทางไปไกลๆก็คงกลับมาไม่ทันเช้าวันจันทร์ที่จะต้องไปทำงาน ซึ่งจะต้องทำทั้งๆที่เริ่มรู้สึกว่างานนั้นมีความซ้ำซากก็ตามทีเถิด คนโบราณเคยสอนไว้ว่า “หากอยากเห็นบ้านเมืองให้ออกจากบ้าน”
พยายามคิดว่าวันนี้จะเดินทางไปที่ไหนดี ไปชมโบราณสถาน โบราณวัตถุที่แปลกแตกต่างไปจากที่เคยพบเห็นมา จำได้ว่ามีเพื่อนพระภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาที่วัดแถวๆปากเกร็ด เคยเล่าให้ฟังว่าที่เกาะเกร็ดมีเจดีย์เก่าที่มีความแปลกแตกต่างไปจากเจดีย์อื่นๆ เป็นเจดีย์ขนาดไม่ใหญ่นักมีลักษณะเอนเอียงเหมือนหนึ่งจะพังลงมา แต่ทว่ากลับไม่พังยังคงเอียงอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเกาะเกร็ด นนทบุรี เพราะความเอียงของเจดีย์นี่เอง
อยู่ไม่ไกลเดินทางสะดวกนั่งรถโดยสารประจำทางก็ได้ เหมาเรือหางยาวจากท่าน้ำนนท์ก็ได้ หรือหากต้องการเวลารวดเร็วหน่อยก็ใช้บริการรถแท็กซี่รับจ้าง สะดวกที่สุดแต่ค่าใช้จ่ายมากกว่าการเดินทางอย่างอื่น จุดเริ่มต้นที่วัดสนามเหนือ นั่งเรือข้ามฟากไปเกาะเกร็ดก็ได้เห็นเจดีย์แล้ว
ใกล้บ่ายแล้วอากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ เปิดโทรทัศน์ดูการแข่งขันชกมวย ซึ่งก็ไม่ทำให้เพลิดเพลินอันใด ต่อยกันไปต่อยกันมา หมดเวลาก็รู้ผลแพ้ชนะ ชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น นักมวยเขาได้ประโยชน์เพราะได้เงินค่าชก คนชมที่ชื่นชอบก็ได้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่ทว่าเป็นความสุขที่อยู่บนความเจ็บปวดของคนอื่น
หยิบกล้องถ่ายภาพได้ก็ออกเดินทางในบัดเดี๋ยวนั้นเลย เป็นการเดินทางที่ไม่มีการวางแผนล่วงหน้าใดๆ แต่ไปเพียงเพราะไม่อยากจะอยู่ในความคุ้นชินกับสถานที่เดิมเท่านั้นเอง นั่งรถไปที่ท่าน้ำนนท์ ตั้งใจว่าจะเหมาเรือหางยาวไปยังเกาะเกร็ด อย่างน้อยก็จะได้ชมวิถีชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ถามลุงคนหนึ่งมีอาชีพขายอาหารให้ปลาที่ท่าน้ำนนท์ ลุงคนนั้นบอกว่า “ถ้าเหมาเรือหางยาวราคาค่อนข้างแพงประมาณ 400 บาท หากนั่งรถสองแถวหรือรถเมล์ก็ประมาณ 10 บาท หากจะนั่งรถแท็กชี่ก็บอกเขาว่าไปวัดสนามเหนือ ปากเกร็ด ราคาประมาณ 100 กว่าบาท หลวงพี่เลือกเอาเองนะครับว่าจะไปทางไหน”
เดินออกมาเรียกรถแท็กซี่บอกว่าไปเกาะเกร็ด คนขับหันมาถามให้แน่ใจ จึงบอกเป้าหมายใหม่ไปวัดสนามเหนือ ปากเกร็ด การบอกเป้าหมายปลายทางก็มีความสำคัญหากบอกผิดที่ คนขับก็ไปผิดทาง เสียทั้งเวลาและเงินอย่างเปล่าประโยชน์
ท่าเรือข้ามฟากวัดสนามเหนือช่วงบ่ายวันอาทิตย์ยังมีผู้คนพลุกพล่าน เรือข้ามฟากจึงทำงานรับส่งผู้โดยสารแทบจะไม่ต้องเสียเวลาจอดรอ เพราะเมื่อคนโดยสารขึ้นจากเรือก็มีคนโดยสารอีกกลุ่มหนึ่งเดินลงเรือ หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านกันอยู่อย่างนี้ ข้ามฟากไปก็เป็นท่าเรือวัดปรมัยยิกาวาส เกาะเกร็ด มองเห็นเจดีย์สีขาวหุ้มด้วยผ้าสีแดงสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามบ่าย ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้ชัดเจน
เจดีย์มุเตา(เจดีย์เอียง) เป็นเจดีย์ทรงมอญแบบเจดีย์มุเตาในเมืองหงสาวดี เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ฐานแปดเหลี่ยมย่อมมุม ฐานกว้างด้านละ 5 วา สูง 4 วา 1 ศอก ยอดพระเจดีย์มีฉัตรทรงเครื่อง 5 ชั้น อย่างมอญ สูง 1 วา ตั้งอยู่หัวมุมเกาะเกร็ด ทางราชการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 52 ตอนที่ 75 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2478
พระเจดีย์มุเตาเป็นเจดีย์เก่าสร้างโดยชาวมอญ ที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ปลายกรุงศรีอยุธยา อายุราว 300 ปี ภายในบรรจุพระธาตุเป็นที่เคารพสักการะของชาวไทยเชื้อสายมอญ เดิมตั้งตรงต่อมาน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงทำให้เจดีย์ทรุดตัวก่อนทำเขื่อน ปัจจุบันได้เสริมความแข็งแรงและยึดฐานไว้อย่างแน่นหนา กกรมศิลปากรอนุญาตให้ซ่อมตัวพระเจดีย์เชิงอนุรักษ์ให้คงสภาพเอียงไว้ เพราะเจดีย์องค์นี้ เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ดเผยแพร่ไปทั่วโลกแล้ว
ในวันที่แสงแดดกล้า ฟ้าสีคราม น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อย เรือบรรทุกสินค้าลำแล้วลำเล่าที่ผ่านไป เรือหาปลา เรือพาย เรือหางยาว เรือข้ามฟาก หลากหลายเรือล่องไปตามแม่น้ำ เจดีย์สีขาว หุ้มด้วยผ้าสีแดง ริมฝั่งน้ำมีลักษณะเอียงไปทางแม่น้ำ เหมือนกำลังจะหักพังลง แม้เวลาที่เดินเข้าใกล้ก็ยังคงอดหัวใจหวั่นไหวไม่ได้ โอ้หนอแม้แต่เจดีย์ที่ตามปรกติธรรมดามักจะตรงโดดเด่นมีความมั่นคง แต่ยังมีเจดีย์เอียงที่กลายเป็นเอกลักษณ์พิเศษเป็นความงามที่แปลกและแตกต่างจากเจดีย์องค์อื่นๆ เจดีย์ที่เคยเที่ยงตรงมั่นคงมาก่อน ยังเอนเอียงได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงจิตใจมนุษย์ย่อมเอนเอียงไปตามสิ่งที่มากระทบ หลบไม่พ้น
ในอภิธรรมได้แสดงความลำเอียงว่าเป็น “อคติมานะ” ซึ่งแสดงไว้ ในวิภังปกรณ์ (35/965/458) ความว่า “อคติคมนะ ๔ เป็นไฉน บุคคลย่อมลำเอียงเพราะรักใคร่กัน ย่อมลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน ย่อมลำเอียงเพราะเขลา ย่อมลำเอียงเพราะกลัว ความลำเอียง การถึงความลำเอียงการลำเอียงเพราะรักใคร่กัน การลำเอียงเพราะเป็นพวกพ้องกัน ความหันเหไปเหมือนน้ำไหล อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้เหล่านี้เรียกว่า อคติคมนะ 4”
ความรัก ความเกลียด ความโง่ และความกลัว เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเกิดความลำเอียงได้ ซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาสามัญของมนุษย์ เมื่อจะตัดสินพิจารณาอะไรก็มักจะมีลักษณะของความรัก เกลียด ไม่รู้จริง และความกลัวเข้ามาเป็นสิ่งที่ช่วยในการตัดสินพิจารณา ก่อนที่จะนำไปสู่บทสรุป หากตัดความรัก ความเกลียด ความโง่และความกลัวออกไป แล้วพิจารณาตามความเป็นจริง ตามที่มันเป็น มิใช่ตามที่เราอยากให้เป็น ก็จะได้พบกับความจริงแท้ที่ปรากฏอยู่อย่างที่มันเป็น สรรพสิ่งทั้งหลายจะมีวิญาณหรือไม่มีวิญญาณก็ตามย่อมตกอยู่ใต้กฎกติกาเดียวกันนั่นคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ยั่งยืนโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง เฉกเช่นกับเจดีย์มุเตาแห่งนี้ ที่เอนเอียงดั่งหนึ่งจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
ภายในวัดปรมัยยิกาวาส ยังมีวิหารพระไสยาสน์ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีภาพจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวของวิถีชีวิตของชาวบ้าน และพิธีกรรม กิจวัตรของพระสงฆ์ให้ได้ชมกันนอกจากนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์มีโบราณวัตถุ เครื่องปั้นดินเผาจัดแสดงไว้
บางครั้งในช่วงที่มีเวลาจำกัด ก็อาจจะอาศัยช่วงเวลาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆที่พอเหมาะแก่เวลา อย่างน้อยก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น หรือสิ่งที่เคยเห็นแล้ว แต่ยังไม่แจ่มชัด การเดินทางไปอีกครั้งอาจจะได้พบกับแง่มุมใหม่ที่ยังไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้ มนุษย์เรามีเวลาจำกัด นอกจากจะต้องทำงานแล้ว ก็ควรหาเวลาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆบ้าง จะมัวปล่อยให้ใจว้าวุ่นอยู่กับความซ้ำซากจำเจทำไมกัน หากไม่เดินออกไป ก็จะไม่ได้พบกับสิ่งใหม่ๆ ตามที่คนโบราณเคยสอนไว้ว่า “หากไม่ออกจากบ้าน ก็ไม่เห็นบ้านเมือง”
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
13/07/58