วันเพ็ญวิสาขมาสหรือเดือนหกของปีปรกติ ส่วนปีที่มีอธิกมาสเลื่อนมาเป็นวันเพ็ญเดือนเจ็ด หากท้องฟ้าไม่มีเมฆหมอกมาบดบังก็จะมีแสงแห่งจันทราส่องสว่างอยู่กลางเวหาสน์ ฟ้าในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะเมื่อสองพันหกร้อยสามสิบแปดปีล่วงมาแล้ว ที่ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีป ได้ก่อกำเนิดพระโพธิสัตว์ที่สวนลุมพินี อีกสามหกปีต่อมาวันเพ็ญเดือนวิสาขะได้มีพระพุทธเจ้ากำเนิดขึ้นในโลกที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และอีกแปดสิบปีต่อมาในคืนวันวิสาขะ โลกก็ได้สูญเสียศาสดาเอกของโลกซึ่งพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานที่ใต้ต้นรังทั้งคู่ เมืองกุสินารา เหตุการณ์ทั้งสามอย่างนั้นมาตรงกันพอดีในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ พระพุทธเจ้าเกิดกลางดอน นอนกลางดิน กินกลางทรายและตายกลางป่า มิได้ประสูติ มิได้ตรัสรู้และมิได้ปรินิพพานในปราสาทราชวังอันโอฬารแต่ประการใด
วันเพ็ญเดือนวิสาขะเจ้าชายแห่งตระกูลศากยวงศ์ได้ถือกำเนิดขึ้นในขณะที่พระมารดากำลังเสด็จพระราชดำเนินอยู่ท่ามกลางสวนลุมพินีอันร่มรื่น เจ้าชายธรรมดาคนหนึ่งเกิดกลางดิน มิใช่ในพระราชวังอันใหญ่โตโอฬารแต่ประการใด เกิดในป่าธรรมดา มิได้บ่งบอกเลยว่าต่อมาเจ้าชายผู้นี้จะกลายเป็นศาสดาเอกของโลกที่ได้รับการขนานพระนามว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลก”
ตามประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเจ้าชายสิทธัตถะทรงอยู่ครองสมบัติอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด มีปราสาทสามฤดู จึงแทบจะไม่เคยรู้จักกับความร้อน ความหนาวหรือความลำบากอื่นใดเลย เพราะหากหนาวก็ไปที่ปราสาทที่ปรับอุณหภูมิอย่างพอเหมาะ ต้องเข้าใจก่อนว่าอากาศของอินเดียและเนปาลนั้นมีความแปรปรวนสูงมาก หนาวก็หนาวมาก เวลาร้อนก็ร้อนมาก บางปีมีผู้คนล้มตายเพราะอากาศร้อนจำนวนมาก บางปีมีผู้เสียชีวิตเพราะอากาศหนาวจำนวนไม่น้อย และยังมีภัยอื่นๆอีกมากมายเช่นน้ำท่วม แผ่นดินไหว พรากชีวิตผู้คนไปไม่น้อย
เมื่อไม่นานมานี้ประเทศเนปาลซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดของพระพุทธเจ้า ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว มีผู้คนล้มตายและสูญหายมากกว่าพันคน เหตุการณ์ทำนองนี้คงเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ทว่าไม่ได้มีการบันทึกไว้ หรือบันทึกไว้ในรูปแบบของเหตุการณ์อย่างอื่น
ทำไมมหาบุรุษผู้เป็นเลิศของโลกจึงต้องไปถือกำเนิดในดินแดนที่มีความโหดร้ายแฝงอยู่อย่างนั้น ตามหลักฐานในพระมหาปทานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค(10/26/14) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้ว ได้ครู่หนึ่ง ประทับยืนด้วยพระบาททั้งสองอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตร์ทางด้าน ทิศอุดร เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว และเมื่อฝูงเทพดากั้นเศวตฉัตรตามเสด็จอยู่ทรงเหลียวแลดูทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่าอันองอาจว่า เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้มีดังนี้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้”
เมื่อประสูตินั้นได้เปล่งอาสภิวาจาความว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ อยเมตฺถ ธมฺมตา” แปลเป็นภาษาไทยความว่า “เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้มีดังนี้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้”
เจ้าชายเจริญเติบโตในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่งมีพระชนมายุ 29 พรรษา จึงได้เสด็จออกบรรพชาแสวงหาอนุตตรธรรม ศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติทดสอบด้วยตนเองเป็นเวลานานหกปี
ความสำคัญประการที่สองคือวันเพ็ญเดือนวิสาขบูชาในอีกสามสิบหกปีต่อมา โลกได้มีศาสดาเกิดขึ้นองค์หนึ่งนามว่า “พระพุทธเจ้า” วันเพ็ญเดือนหกท้องฟ้าปราศจากเมฆหมอก ฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวส่องแสงระยิบระยับทั่วอาณาบริเวณ เจ้าชายผู้สละราชบัลลังก์ออกผนวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรม ได้บำเพ็ญเพียรอยู่ใต้โพธิบัลลังก์ที่ปูลาดด้วยหญ้ากุสะหรือหญ้าคาที่แสนธรรมดา ซึ่งเป็นหญ้าที่หาได้ทั่วไปในทุ่งหญ้าริมฝั่งน้ำเนรัญชรา มิได้ประทับนั่งเหนืออาสนะอันวิจิตรพิสดารอันใด หญ้าธรรมดา เหนือพื้นดินธรรมดา ใต้ต้นไม้ธรรมดา กำลังค้นหาสิ่งที่เป็นธรรมดา ที่คนทั่วไปมองข้าม นั่นคือทุกข์คืออะไร เกิดมาจากอะไร หากทุกข์หมดไปจะเกิดอะไรขึ้น วิธีออกจากทุกข์คืออะไร เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่ผู้คนต่างค้นหาทางออกมานานหลายชั่วอายุคน
ในวันนั้นพระโพธิสัตว์ได้ตั้งปณิธานไว้ดังที่ปรากฏในทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย ปฐมปัณณาสก์ (20/251/48) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลายได้ยินว่า เราเริ่มตั้งความเพียรอันไม่ย่อหย่อนว่าจะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไปก็ตามเถิด หากยังไม่บรรลุผลที่บุคคลพึงบรรลุได้ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรเสีย”
ความสำคัญประการสุดท้าย คือวันวิสาขบูชาเป็นวันคล้ายวันเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากที่ทำการประกาศพระพุทธศาสนาเป็นเวลานานถึง 45 ปี ก็ถึงเวลาที่จะต้องละร่างวางสังขาร เสด็จดับขันธปรินิพพาน วันนั้นพระองค์ได้แสดงพระดำรัสก่อนวันปรินิพพานดังที่ปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค (10/143/148) ความว่า “ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต ภาษาบาลีบันทึกไว้ว่า “อถโข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ” อยํ ตถาคตสฺส ปจฺฉิมา วาจา"
ก่อนปรินิพพานได้แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายความว่า “ดูกร อานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ก็ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”
การปรินิพพานโดยลำดับแสดงไว้ว่า “ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌานออกจากปฐมฌาน แล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสนัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้วหรือ
ท่านพระอนุรุทธะตอบว่าอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรง เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญานัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจาก ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ (แห่งการพิจารณาองค์จตุตถฌานนั้น)
วันวิสาขบูชาจึงถือเป็นวันสำคัญของพระพุทธเจ้า เป็นวันคล้ายวันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปีนี้เป็นปีที่มีอธิกมาสวันเพ็ญเดือนหกจึงเลื่อนมาเป็นวันเพ็ญเดือนเจ็ด บางประเทศอาจจะไม่มีการนับเดือนอธิกมาส จึงจัดงานตามปรกติคือวันเพ็ญเดือนหก แต่สำหรับประเทศไทยได้กำหนดให้มีอธิกมาส จึงเลื่อนมาเป็นวันเพ็ญเดือนเจ็ด ส่วนสาระสำคัญยังไว้เหมือนเดิม
สรรพสิ่งทั้งหลายมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ตามธรรมดา แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้หนีพ้นจากกฏแห่งความเป็นธรรมดา คนทั่วไปนิยมจัดงานครบรอบวันเกิดซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีชื่อเสียง มักจะมีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก จัดงานแล้วก็เป็นเครื่องแสดงบอกให้รู้ว่ามีอายุเพิ่มขึ้นอีกปี การจัดงานครอบรอบวันตายก็มักจะเป็นการทำบุญอุทิศให้แก่คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ผู้ที่เกิดและตายในวันเดียวกันอาจจะพอมีอยู่บ้าง เรื่องนี้มิใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่ประการใด แต่ผู้ที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันเพ็ญเดือนวิสาขะเหมือนกันนั้น ในโลกนี้มีอยู่เพียงคนเดียว นั่นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศาสดาของพระพุทธศาสนา
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
01/06/58