แสงแดดในวันที่ฟ้าโปร่งอาบไล้ไปทั่วอาณาบริเวณ นั่งผิงแดดอุ่นในฤดูหนาว ในเช้าวันที่ฟ้าสดใส หัวใจก็เบิกบาน เสียงเพลงปีใหม่จากโรงเรียนข้างวัดแว่วเข้ามา บ่งบอกให้รู้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะเปลี่ยนศักราชใหม่ วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ไม่เคยหยุดนิ่งดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกวัน แม้ว่าบางช่วงจะออกเฉียงๆไปบ้าง ตะวันลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตจิตใจของมวลมนุษยชาติก็แปรเปลี่ยนไปทุกวินาที ชีวิตก็ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้ว่าเราอยากจะหยุดเวลาไว้ ณ ห้วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตามที ผู้คนส่วนหนึ่งมักจะมีคิดถึงอดีตที่เคยสุขสันต์ มีความฝันอันสวยงามในอนาคต แต่มักจะลืมกำหนดปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่
อุบาสิกาคนหนึ่งเดินลานวัดเอ่ยทักว่า “หลวงพ่อไม่ไปเที่ยวปีใหม่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
จึงตอบไปแทบจะไม่ได้คิดว่า “อาตมาไม่มีที่จะไป ไม่รู้จะไปไหน ตอนนี้ไม่มีแผนการแห่งชีวิตอะไร คงต้องอยู่สวดมนต์ข้ามปีที่วัดกระมัง แล้วโยมมีแผนจะเดินทางไปที่ไหน”
“ตั้งใจจะไปเที่ยวเกาะที่ไหนสักแห่ง ไปนอนฟังเสียงคลื่น ไปอาบน้ำทะเล ไปกับครอบครัว พ่อ แม่ลูก นานๆจะมีวันหยุดตรงกันสักที”
“ขอให้โชคดีเดินทางปลอดภัย”
กลับมาย้อนคิดว่าปีใหม่ที่มีวันหยุดยาวอย่างปีนี้ได้ข่าวว่าหยุดตั้งแต่วันจันทร์จึงถึงวันอาทิตย์เจ็ดวัน เจ็ดคืน หยุดติดต่อกันยาวนานในช่วงเทศกาลปีใหม่ หากวางแผนให้ดีย่อมพอมีเวลาได้เดินทางไปที่ไหนสักแห่งที่อยากไป แต่ตัวเราเองกลับนึกหาที่ไปไม่ได้ ครั้นจะไปไกลถึงต่างประเทศเงินทองก็คงมีไม่พอ ครั้นจะไปในเมืองไทย ไปเยี่ยมแม่ ตลอดจนญาติพี่น้อง ก็ยังไม่รู้ว่าจะสะดวกในการเดินทางหรือไม่ เพราะทุกคนก็อยากไปเหมือนกัน หากคิดอีกมุมหนึ่งถึงไม่มีที่ไปการที่ได้มีโอกาสหยุดและได้พักอยู่กับวัดน่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้สะสางงานที่ยังค้างอยู่อีกจำนวนมาก อาศัยช่วงเวลาในวันว่างทำงานให้เสร็จ
การเดินทางไกลในช่วงเวลาที่มีวันหยุดยาวเป็นความทุกข์ประการหนึ่ง ถนนที่มีอยู่เท่าเดิมแต่ปริมาณรถมีมากขึ้น จึงต้องแก่งแย่งกันเพื่อจะได้ไปถึงตามกำหนดเวลา จึงทำให้รถติด ในช่วงเวลานั้นคนขับมักจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวร้อนรน ใจร้อน เสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
มีธรรมอยู่ข้อหนึ่งที่หากรักษาไว้ให้ดี ย่อมนำไปสู่เป้าหมายตามที่ต้องการได้นั่นคือ “สติสัมปชัญญะ” แยกเป็นสองคำ “สติ” แปลว่าความระลึกได้ ส่วน “สัมปชัญญะ” แปลว่า ความรู้ตัว เมื่อนำมารวมกันจึงเป็นสติสัมปชัญญะ มีคำอธิบายไว้ในสามัญญผลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (9/123/80) พระพุทธเจ้าได้อธิบายให้พระเจ้าอชาตศัตรู ความว่า “ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แลภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ”
สรุปว่าจะพูด จะทำอะไรก็ทำด้วยความรู้สึกตัว รู้อยู่ว่าในขณะที่เราพูดเราทำ สภาวะของความเป็นตัวตนของเราคืออะไร ไม่หลงลืม เมื่อใดที่เผลอสติไม่อยู่ในปัจจุบันก็จะทำให้เกิดความประมาทขึ้น การที่คนประมาทก็เพราะขาดสติ หากยังระลึกได้ จำได้ รู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิต ชีวิตก็ค่อยเป็นค่อยไป ชีวิตของแต่ละคนย่อมมีเรื่องราวมากหลายให้คำนึงทั้งเรื่องจากอดีต ทั้งเรื่องที่เป็นความฝันถึงอนาคต แต่คนส่วนหนึ่งมักจะหลงลืมสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะบางคนมีอดีตที่น่าจดจำ มีอนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง จึงทำให้หลงลืมปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ คิดถึงความหลังได้ ฝันถึงอนาคตได้ แต่อย่าหลงลืมปัจจุบัน อดีตนั้นผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง แต่ปัจจุบันคือสิ่งที่เป็นจริง
เคยถามคนขับรถคนหนึ่งที่เคยมีคดีเกี่ยวกับการขับรถชนคนจนเสียชีวิต ว่าขณะที่รถชนนั้นมีกำลังคิดอะไร
เขาบอกว่า “มันลืมตัวไปชั่วครู่นะครับ เผลอคิดอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันเลย วันนั้นผมคิดถึงใครก็ไม่รู้ เท้าเลยเผลอเหยียบคันเร่งแรงไปหน่อย เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้นแหละครับก็เกิดอุบัติเหตุ มารู้สึกตัวอีกทีก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว”
มีอยู่ครั้งหนึ่งเดินทางไปจังหวัดอุดรธานี โดยอาศัยรถยนต์ส่วนตัวของเพื่อนคนหนึ่ง ออกเดินทางจากกรุงเทพในช่วงเทศกาลอะไรสักอย่าง บนถนนมีรถมาก รถจึงติดไปตลอดทาง คนขับแอบดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยที่ผู้โดยสารก็ไม่ได้สังเกต มารู้สึกตัวอีกที สังเกตเห็นรถทรงตัวไม่ค่อยดีนักออกอาการเหมือนงูเลื้อย จึงบอกให้คนขับจอดรถข้างทาง โดยอ้างว่าปวดปัสสาวะอย่างหนัก เมื่อรถจอดจึงรู้ว่าคนขับเริ่มมีอาการเมา แม้ว่าเขาจะบอกว่าผมยังไหวครับ เมาบ้างเล็กน้อย ระยะทางเหลืออยู่ไม่ไกลนัก ให้คนขับนอนพักสักครู่ เสียเวลาหน่อยดีกว่าเสียชีวิตที่ไม่มีวันย้อนกลับคืนได้
เมื่อคนขับได้พักสักครู่ ได้กาแฟร้อนๆหนึ่งแก้วจึงขับรถต่อไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เพราะคนขับมีผู้โดยสารชวนคุย ชวนสนทนา ไม่ยอมให้ประมาทขาดสติ ก็สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ แม้จะช้าไปนิด ผิดเวลาไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ถึงจุดหมายปลายทาง ดีกว่าไปเร็วแต่ไปไม่ถึงเป้าหมาย
หากรู้สึกตัว จำได้หมายรู้ จะทำกิจการงานใดก็ย่อมจะสำเร็จตามใจปรารถนาได้ บางครั้งชีวิตก็ต้องเดินช้าลง จะได้เห็นความงามระหว่างเส้นทางผ่าน แม้ว่าการเดินทางสิ่งที่ทุกคนปรารถนาคือการไปถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุดบางทีอาจจะไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะมีอันตรายระหว่างทาง แต่ทว่าบางครั้งการเดินช้าลงก็อาจจะทำให้ไปถึงจุดหมายโดยปลอดภัยได้ ไม่ประมาท ไม่ขาดสติระลึกรู้อยู่ในปัจจุบันนั่นคือทางแห่งความปลอดภัย
เมื่อดวงอาทิตย์โคจรสูงขึ้น แสงแดดที่เคยอุ่นก็ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เวลาผัน วันเปลี่ยน เดือนปีกำลังจะก้าวผ่านไปสู่ศักราชใหม่ ชีวิตของแต่ละคนก็แก่ขึ้นอีกปี เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่วันที่จะต้องจากลาโลกนี้ไปแล้ว แต่หากยังระลึกนึกได้มีเวลาอยู่กับปัจจุบัน แม้ร่างกายจะไม่ได้เดินทางไกล ก็เหมือนกับได้เดินทางไกลเพียงใจที่นึกฝัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
27/12/57