ฝูงลิงจำนวนมากกำลังแย่งอาหารจากผู้ใจบุญที่หว่านโปรยลงไปยังกลุ่มประชากรลิง ต่างก็เข้ายื้อแย่งอาหาร บางตัวแสดงความยิ่งใหญ่วิ่งไล่กัดตัวอื่นๆ ส่วนลิงที่ยังตัวเล็กต้องถอยห่างออกไปไกลฝูงคอยเก็บอาหารที่เหลือ บางตัวได้แล้วยังไม่พอยังจับใส่ปากซ่อนไว้ในแก้มลิงจนแก้มตุง แม้จะมีอาหารมากมายแต่ดูเหมือนว่าลิงเหล่านั้นจะไม่เคยอิ่ม ยังมีความอยากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ธรรมชาติของลิงคือความซุกซนอยู่นิ่งไม่ค่อยได้ จึงมีคำเปรียบเทียบเด็กที่อยู่นิ่งไม่ค่อยได้มักจะทำนั่นทำนี่ตามใจปรารถนา โบราณจึงบอกว่า “ซนเหมือนลิง” จิตใจของมนุษย์หากไม่ได้รับการฝึกฝนก็ซนเหมือนลิงเช่นกัน
วันนั้นมีขนมปังสองชิ้นจึงค่อยๆโยนให้ลิง ตั้งใจว่าจะให้ตัวเล็กๆก่อน แต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด เพราะลิงตัวใหญ่เข้ามาแย่งไปกินเสียก่อน เจ้าลิงตัวเล็กจึงได้แต่นั่งทำหน้าเศร้าอย่างน่าสงสาร จึงซื้อถั่วลิสงเพื่อจะได้มาแจกจ่ายให้แก่พลเมืองลิงเหล่านั้น แต่พอวางเข่งถั่วลงเท่านั้น ฝูงลิงก็เข้าแย่งโดยไม่ต้องรอคิว ใครมาก่อนหยิบก่อน นี่กระมังที่บอกว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา เพียงแต่เปลี่ยนจากมือเป็นเท้าหน้า ไม่นานนักถั่วในเข่งก็หมด ฝูงวานรทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปหากินที่อื่น
หญิงคนหนึ่งอุ้มลูกที่ยังเล็กอยู่พยายามให้อาหารแก่ลิง ซึ่งกิริยาอาการและการกระทำของฝูงลิงก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม ยังคงเข้าแย่งกัน กัดกันเหมือนเดิม เป็นไปตามธรรมดาของลิง ที่ข้างศาลาพักร้อนมีประชาชนกลุ่มหนึ่งตั้งแผงให้บูชาพระเครื่อง ซึ่งลิงไม่เข้าไปใกล้ วิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่กับลิงคงมีวิธีจัดการกับลิงได้ดีกว่าผู้ผ่านทาง
เมื่อมองดูฝูงลิงก็กลับมาพิจารณาความเป็นไปของชีวิต ซึ่งผ่านกาลเวลามานานพอสมควรแล้ว เดินทางไปหลายประเทศ แต่ความคิดยังวนเวียนอยู่กับการเที่ยวเล่น ยังไม่ได้ทำงานทางจิตที่เป็นชิ้นเป็นอัน แม้จะพยายามฝึกอบรมจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ พิจารณาความเป็นไปของสังขารพร้อมอัตภาพร่างกายซึ่งหากเป็นดวงอาทิตย์ก็คงบ่ายคล้อยไปมากแล้ว เดินเข้าใกล้สายัณหกาลแห่งชีวิตเข้ามาทุกที จนกระทั่งวันนี้ก็เพียงรอวันเวลาสุดท้ายแห่งชีวิตจะมาถึงเหมือนกับคนอื่นๆ
หากเรายังคงดำเนินชีวิตเยี่ยงฆราวาสวิสัย ลูกคนโตคงมีลูกอายุใกล้เคียงกับหญิงแม่ลูกอ่อนคนนั้น ตัวเราเองคงอยู่ในวัยที่คนอื่นเรียกว่าปู่หรือตาไปแล้ว แต่เนื่องเพราะได้เลือกเส้นทางตามวิถีแห่งสมณะซึ่งเป็นเส้นทางแห่งความโดดเดี่ยว ยิ่งอายุมากขึ้นเพื่อนฝูงก็เหลือน้อยลง คนเก่าไปคนใหม่มาหมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ จิตคิดไปเรื่อยตามสภาวธรรมที่ได้พบ ตามอารมณ์ที่ได้สัมผัส บางครั้งรัก บางครั้งโลภ บางโกรธ บางครั้งหลง ความคิดหมุนไปตามกระแสของชาวโลก จิตนี้สร้างโลกขึ้นภายในใจตนเอง มักจะมีคำขึ้นต้นว่า “หากว่า...ถ้าว่า...เช่น หากว่าเราเป็นเศรษฐีคงจะอยู่ดีมีสุข เพราะมีเงินมากมายมหาศาล” หรือ “ถ้าว่าเราแต่งงานคงจะต้องมีลูกชายลูกสาว บ้านจะไม่ต้องเงียบเหงา เพราะเขาเหล่านั้นคือผู้ที่เติมชีวิตให้เต็ม” หรือบางคนอาจจะเริ่มต้นด้วยความคิดว่า “ถ้าว่าเราถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง จะนำเงินไปใช้อย่างสะดวกสบายซื้อสิ่งที่ขาด เต็มที่สิ่งเต็ม เป็นต้น”
มีเรื่องเล่าไว้ว่า “หลวงพ่อกับสามเณรจำพรรษาที่วัดในชนบทแห่งหนึ่ง หลังจากออกพรรษาพระภิกษุสามเณรรูปอื่นๆต่างก็ลาสิกขาไปกันหมด วัดทั้งวัดจึงเหลือหลวงพ่อกับเณรน้อยเพียงสองรูป วันหนึ่งหลวงพ่อชวนสามเณรคุยแก้เซ้งว่า “เณร ถ้าหากเณรลาสิกขาออกไปจะไปทำงานอะไร”
สามเณรคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบหลวงพ่อว่า “ผมคงหาที่ว่างริมแม่น้ำสักแห่ง ปลูกผัก ผลไม้ สวนครัว ประเภทผลกินได้ ใบทำยาประมาณนั้นแหละครับ ที่ขาดไม่ได้คือมะเขือ ผักชี ผักกาดครับ เพราะเป็นอาหารได้ตลอดทั้งปี”
จากนั้นสามเณรก็หันมาถามหลวงพ่อว่า “ถ้าหลวงพ่อลาสิกขาออกไปจะทำงานอะไรครับ”
หลวงพ่อกำลังคิดตามสามเณรจึงตอบว่า “คงต้องหาภรรยาสักคน ไม่สวยนักก็ได้ แต่ต้องทำอาหารเก่ง ทำกับข้าวอร่อย เป็นแม่บ้านที่ดี ส่วนฉันจะซื้อแพะซักฝูงปล่อยให้กินหญ้าตามชายทุ่ง และลงกินน้ำตามฝั่งแม่น้ำนี่แหละ ชีวิตคงพออยู่ได้ หากมีลูกชายก็จะให้บวช หากมีลูกสาวก็ให้ฝึกเป็นแม่บ้าน”
สามเณรบอกว่า “ต้องระวังด้วยนะครับ หากมาทางแม่น้ำ ประเดี๋ยวแพะจะเข้ามากินผักผลไม้ในสวนของผม”
หลวงพ่อ “ก็ล้อมรั้วสิ แพะจะได้เข้าไม่ได้”
สามเณร “ก็คอยดูแพะไว้ไม่ดีกว่าหรือ ขืนแพะเข้ามาในสวนผมตีแพะแน่” พูดจบสามเณรก็ยกไม้กวาดขึ้นทำท่าเหมือนกำลังจะไล่ตีแพะ บังเอิญว่าหลวงพ่อนั่งอยู่ข้างๆ ด้ามไม้กวาดจึงตีลงตรงศีรษะหลวงพ่อพอดี
หลวงพ่อสะดุ้งยกมือขึ้นกุมศีรษะ “เณรมาตีหัวฉันทำไม”
สามเณรก็รู้สึกตัวจึงรีบขอโทษหลวงพ่อ “ผมตีแพะที่หลวงพ่อปล่อยมาเข้าสวนผักผมนะครับ”
นี่เป็นเพียงความคิดที่บังเอิญหลวงพ่อกับสามเณรกำลังคิดในเรื่องที่เกี่ยวโยงกันพอดี ส่งผลให้ศีรษะหลวงพ่อต้องมีรอยแผลเป็น เพียงเพราะความคิดที่ยังไม่ได้ลงมือทำ
โลกมักจะหมุนไปตามความคิดที่เราสร้างขึ้น ในพระพุทธศาสนามีคำสอนอยูบทหนึ่งว่า “โลกหมุนไปตามความคิดหรือจิตคิดไปตามโลก โลกอันจิตย่อมนำไป ดังที่แสดงไว้ใน จิตตสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/181/46) ความว่า “โลกอันจิตย่อมนำไป อันจิตย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือจิต”
แปลมาจากภาษาบาลีว่า “จิตฺเตน นียติ โลโก จิตฺเตน ปริกิสฺสติ
จิตฺตสฺส เอกธมฺมสฺส สพฺเพว วสมนฺวคูติฯ”
ธรรมชาติของจิตมักจะดิ้นรนกวัดแกว่งคิดปรุงแต่งไปเรื่อย หากไม่ฝึกจิตให้อยู่ในปัจจุบันธรรมอาจจะทำให้เกิดความเดือดร้อนได้ จิตของปุถุชนย่อมคิดไปตามกรรมกระแสโลก การที่โลกวุ่นวาย เดือดร้อนส่วนหนึ่งมาจากความคิดของมนุษย์ หากคิดในสิ่งที่เป็นกุศล เป็นบุญ คิดด้วยจิตที่ประกอบด้วย เมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข คิดด้วยจิตที่ประกอบด้วยกรุณาปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความคิดนั้นก็จะนำไปสู่การกระทำที่ทำให้เกิดสันติสุข
ในทางตรงกันข้าถ้าคิดด้วยจิตที่ประกอบด้วยความโลภ อยากได้ใคร่ดี ปรารถนาเกินความพอดี คิดด้วยจิตอันประกอบด้วยความโกรธมุ่งหวังเพื่อการทำลายล้าง ก็จะเกิดการเข่นฆ่า เกิดสงครามไม่มีที่สิ้นสุด หากคิดด้วยจิตอันประกอบด้วยความหลง ไม่รู้จริงในสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น ก็จะนำไปสู่การกระทำที่ผิดพลาดประมาทก่อให้เกิดความเสียหายและความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเองผู้อื่นตลอดจนสังคมโลก
ปุถุชนคนธรรมดาบางครั้งก็ตั้งจิตมีความคิดที่ผิดได้ แต่หากเข้าใจธรรมชาติของจิตที่มักจะดิ้นรน กวัดแกว่ง ปรุงแต่งไปตามกระแสของสภาวะแล้ว ก็เริ่มย้อนกลับมาตั้งความคิดใหม่ได้ จิตที่คิดด้วยเมตตากรุณาธรรม จะนำพาไปสู่ความสุข
ฝูงลิงเมื่อหมดอาหารก็แยกย้ายกันไป บางตัวห้อยโหนเล่นบนกิ่งไม้ บางตัวกระโดดโลดเต้นไปตามพื้น บางตัวไล่กัดตัวอื่น บางตัวยังคงหาเก็บเศษอาหารที่อาจจะหลงเหลืออยู่บ้าง พยายามมองหาลิงที่อยู่นิ่งๆแทบจะไม่พบ ธรรมชาติของลิงย่อมซุกซนและแสดงออกด้วยการกระทำ แต่จิตมนุษย์นั้นแม้จะดิ้นรนวุ่นวายก็ยังอยู่ภายใน สำหรับผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตมาก่อนเลยอาจจะแสดงออกตามที่ตนคิด ส่วนผู้ที่ฝึกแล้วแม้จะคิดวุ่นวายอย่างไรก็ยังอยู่ภายใน เก็บงำอาการไว้ได้ แม้จะซุกซนไปบ้าง ก็ยังเก็บซ่อนไว้ภายในมิได้แสดงออกให้ใครเห็น
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
18/10/57