วันเสาร์ไปร่วมงานปฐมนิเทศนักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ที่ศาลายา นครปฐม มีนักศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาพุทธศาสน์มาร่วมงานด้วย แม้จะมาเพียงช่วงเช้าเพราะภาคบ่ายต้องเข้าเรียนตามปกติ แต่ก็ถือว่าอย่างน้อยก็ได้มาเยี่ยมและให้กำลังใจรุ่นน้องที่กำลังจะเริ่มต้นเรียน ในงานนี้ได้พบกับเพื่อนเก่าท่านหนึ่งที่เคยเรียนมาด้วยกัน จบมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน รับปริญญาในวันเดียวกัน จึงมีโอกาสได้สนทนาตามประสาเพื่อนเก่า
เพื่อนท่านั้นบอกว่า “เทอมนี้ผมสอนครบทั้งสามระดับเลยครับทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก งานหนักเอาการ ผมเคยจำที่ท่านมหาฯ เคยบอกผมสมัยเรียนหนังสือด้วยกันในทำนองที่ว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าคน คนที่ไม่ทำงานต่างหากมักจะถูกกาลเวลาฆ่าให้ตายก่อนเวลาอันควร”
จึงบอกว่าท่านพระมหา ดร. (ขอสงวนนาม) ท่านนั้นไปว่า “แหมอุตสาห์จำได้ คนพูดลืมไปแล้ว เมื่อสนทนากันสักพักจึงถือโอกาสสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ “ใกล้วันแม่แล้ว ผมเห็นเขานำดอกมะลิมาเป็นเครื่องบูชาพระคุณแม่ ท่าน ดร. พอมีคำอธิบายไหมครับ ทำไมจึงใช้ดอกมะลิ”
พระมหา ดร.รูปนั้นจึงบอกว่า “ผมก็จำเขามาเหมือนกัน ดอกมะลิมีธรรมชาติเขียวสดอยู่ตลอดเวลา ความรักของแม่ที่มีต่อลูกก็เขียวสดตลอดเวลาเหมือน รักแท้ไม่แปรเปลี่ยน เที่ยงแท้ไม่แปรผัน อะไรทำนองนั้น ดอกมะลิมีสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนจิตใจของแม่ก็มีความบริสุทธิ์ ไม่มีราคีสำหรับลูก รักลูกด้วยความบริสุทธิ์ มุ่งความสุขความสำเร็จของลูกเป็นที่ตั้ง และอีกประการหนึ่งดอกมะลิมีกลิ่นหอมไม่สร่าง หอมไม่มากแต่หอมได้นาน เหมือนความรักของแม่เมื่อเห็นความสำเร็จ ความมีชื่อเสียงของลูกแม่ก็พลอยยินดีด้วย ไม่ริษยาลูก เกียรติยศและความสำเร็จของลูกคือน้ำทิพย์ชโลมใจแม่”
พอพูดมาถึงช่วงนี้พระมหา ดร. ท่านนั้นก็บอกว่า “ผมมีประสบการณ์ตรงกับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ ท่านอาจารย์มีเวลาฟังไหมครับ”
จึงบอกว่า “ยินดีอย่างยิ่งเลยครับ ผมจะจำไปเขียนบทความเผยแผ่ให้คนได้รับรู้ พระมหา ดร. ก็มีประสบการณ์ความรักของแม่”
พระมหา ดร. ท่านนั้นเริ่มต้นเรื่องว่า “เรื่องเป็นอย่างนี้ครับตอนนั้นผมเรียนปริญญาเอก เรียนที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยนี้แหละครับ มีอยู่เทอมหนึ่งจำได้ว่าเป็นเทอมที่สาม ผมหาเงินค่าเทอมไม่พอ ยังขาดอยู่อีกประมาณสองหมื่นบาท เวลาก็กระชั้นชิดเข้ามา ผมทำเรื่องขอผ่อนผันมาหลายครั้งแล้ว จนผ่อนผันอะไรอีกไม่ได้ต้องจ่ายตามกำหนด
เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันไม่รู้จะไปหยิบยืมใคร มองไปทางไหนทุกคนต่างก็มีภาระ ขอผลัดจ่ายค่าเทอมครั้งสุดท้ายจนครบกำหนดแล้ว ไม่มีทางเลือก หากไม่จ่ายค่าเทอมก็ไม่มีสิทธิ์เรียน ที่ลงทุนไปสองเทอมคงต้องหมดความหมาย ปริญญาเอกตอนนั้นเรียนภาควิชาการสามเทอมครับ ส่วนที่เหลือเป็นการเขียนวิทยานิพนธ์อย่างเดียวไม่ต้องมาแล้ว เพียงแต่มาพบกับอาจารย์ที่ปรึกษาก็พอ
ณ ห้วงเวลาที่หมดหนทางนั้น ผมพลันนึกถึงแม่ขึ้นมา ไม่ได้คิดว่าจะขอเงินค่าเทอมแม่หรอก เพราะแม่ก็ลำบาก ทำงานหาเช้ากินค่ำแม่ผมเป็นชาวนาครับ ส่วนพ่อเสียไปนานแล้ว ผมจึงเหลือแต่แม่ เพียงแต่อยากถามข่าวแม่ตามปกติ จึงยกโทรศัพท์ขึ้นโทรคุยกับแม่ เสียงทางปลายสายบอกว่า “เรียนใกล้จบหรือยัง เรียนหนักเหนื่อยไหมลูก” ได้ยินเสียงแม่ทักอย่างนั้น ทำให้ผมต้องอึ้งไป
ก่อนจะตอบคำถามแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อยๆว่า “กำลังเรียนเทอมที่สามแล้วเดินมาถึงครึ่งทางแล้วแม่”
เสียงแม่ถามด้วยความห่วงใยบอกว่า “ค่าเทอมจ่ายเขาหรือยัง”
เมื่อถามตรงประเด็นแบบนั้น จึงตัดสินใจบอกแม่ไปว่า “ยังหาเงินค่าเทอมไม่พอ”
แม่ถามว่า “ขาดอยู่เท่าไหร่”
เมื่อบอกจำนวนเงิน แม่เงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยว่า “บอกหมายเลขบัญชีธนาคารมา พรุ่งนี้แม่จะให้น้องโอนเงินไปให้”
แม่พูดก่อนวางสายว่า “ไม่ต้องห่วงมีเมื่อไหร่ค่อยนำมาคืนก็แล้วกัน ตั้งใจเรียนให้จบแม่ก็ภูมิใจแล้ว”
เพราะเงินจำนวนนั้นจึงทำให้นำไปจ่ายค่าเทอมทันตามกำหนดเวลา และเพราะเงินส่วนนั้นจึงทำให้มีกำลังใจเรียนจนจบตามหลักสูตร มารู้ตอนหลังว่าเงินที่แม่ส่งมาให้ในครั้งนั้นแม่ไปหยิบยืมเขามา เพราะอยากเห็นลูกมีอนาคตนั่นเอง
เมื่อเรียนจบแล้วผมทำงานสอนหนังสือพอมีเงินบ้าง จึงนำไปคืนแม่ แม่บอกว่า “ขอให้แม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมส่งลูกเรียนจนจบปริญญาเอกเป็น “ดอกเตอร์” สักคน แม้จะเป็นเงินที่ไม่ได้มากมายอะไร แต่การที่แม่ที่มีอาชีพเป็นชาวไร่ ชาวนา มีความรู้เพียงชั้นประถมปีที่สี่ แต่มีลูกชายเรียนจบปริญญาเอก นั่นคือสิ่งที่ทำให้แม่ยิ้มได้ เพราะในช่วงชีวิตของแม่นี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าได้เห็นความสำเร็จของลูก”
ผมจึงไม่ได้คืนเงินที่ยืมแม่มาจ่ายค่าเทอมในครั้งนั้น แต่ใช้วิธีส่งคืนครั้งละไม่มากนัก โอนให้แม่ครั้งละเล็กครั้งละน้อย หรือไม่ก็หยิบเงินใส่กระเป๋าให้แม่ทุกครั้งที่กลับไปเยี่ยมแม่ ทุกวันนี้เงินที่ยืมแม่มาคงเกินจำนวนไปมากแล้ว สิ่งที่แม่อยากได้ ไม่ใช่เงินจากลูก แต่คือความสำเร็จและความเป็นคนดีมีความสามารถและการดำรงอยู่อย่างมีความสุขของลูกต่างหาก” พระมหา ดร. จบการสนทนา ก่อนจะบอกว่า ผมมีสอนภาคบ่ายเห็นทีจะอยู่ร่วมงานปฐมนิเทศได้ไม่ตลอด มองเงาร่างทางด้านหลังของ ท่าน พระมหา ดร. ที่กำลังเดินจากไปเหมือนกำลังมองเงาร่างของตนเอง
ดอกมะลิมีสีขาวบริสุทธิ์ ใบมีความเขียวสดอยู่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนความรักที่แม่มีต่อลูกเป็นความรักที่บริสุทธิ์และในจิตใจของแม่มีความสดชื่นทุกครั้งที่ได้เห็นลูกประสบความสำเร็จ แต่ในทางตรงกันข้ามหากลูกประสบเคราะห์กรรม มีปัญหาแม่ก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือ
อีกอย่างหนึ่งดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่หาง่าย มีอยู่ทั่วไป จึงเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งว่า สิ่งที่แม่อยากเห็น อยากได้จากลูกมิใช่สิ่งที่มีค่ามากมายอะไรนัก แต่เป็น “ความมีแก่ใจของลูก” ที่แสดงออกถึงความรัก ความเคารพ ความห่วงใยที่มีต่อแม่ เพียงเท่านี้ก็เป็นของขวัญอันล้ำค่า เป็นยาอันวิเศษ สำหรับแม่แล้ว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/08/57