ช่วงเวลาแห่งอดีตที่ผ่านไปแล้ว บางครั้งเมื่อกลับมาย้อนคิดอีกครั้งก็รู้สึกเสียดายวันเวลาเหล่านั้น เราน่าจะทำอย่างนั้น ไม่น่าจะทำอย่างนี้ หากทำอย่างนั้นผลคงเป็นไปในทำนองนี้ นั่นคือการคิดย้อนนึกถึงอดีต แม้ว่าเรื่องบางอย่างจะผ่านไปนานแล้ว แต่หากคิดขึ้นมาเมื่อใด ก็ดูเหมือนว่าเรื่องนั้นพึ่งจะผ่านไปได้ไม่นาน บางเรื่องเหมือนกำลังอุ่นอยู่ในหัวใจ เรื่องที่ผ่านไปหากเป็นเรื่องที่นำมาเตือนใจตนเองได้เรื่องนั้นก็น่าจดจำ แต่ไม่รู้เป็นอะไร เรื่องที่อยากจำมักจะลืม ส่วนเรื่องที่อยากลืมมักจะจำ นี่นับเป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งของมวลมนุษย์เพราะไปจำในเรื่องที่ควรลืม แต่ลืมในเรื่องที่ควรจำ
วันก่อนมีข้อความหนึ่งผ่านมาทางโทรศัพท์เป็นคำทักทายสั้นๆ ตามธรรมดา “สบายดีไหมท่านเถียนฉาง” ตอนแรกอ่านแล้วก็ยังงง สงสัยว่าคนทักอาจจะส่งข้อความมาผิดคน เห็นครั้งแรกไม่ได้สนใจ แต่พอผ่านไปสักพักเปิดดูอีกครั้ง จึงคิดออกบอกได้ว่า คำว่า “เถียนฉาง” เคยเป็นชื่อเล่นของผู้เขียนเองที่เพื่อนสนิทที่สุดเรียกขานกันเพียงไม่กี่คน ภายหลังเมื่อแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ชื่อนั้นก็ไม่มีใครเรียกอีก ในแต่ละปีมีอะไรให้ทำมากมายเรื่องบางอย่างก็เลือนหายไปจากความทรงจำนานไปก็ลืม
สมัยนั้นผ่านมาหลายกาลฝนแล้ว ไม่อยากใช้คำว่าปีเพราะดูว่ามันนานไป ขอใช้คำว่า “กาลฝน” หมายถึงช่วงเวลาสามเดือนในช่วงเข้าพรรษา เมื่อครั้งที่ยังหนุ่มบวชได้ไม่นาน สิ่งที่ทำในตอนนั้นคือเรียนบาลี เรียนทั้งวัน เช้า บ่าย วันละสองเวลา รู้สึกเบื่อหน่าย แต่ก็ต้องเรียน เพราะหากไม่เรียนก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ในอารามแห่งนั้น พระภิกษุสามเณรเกือบทุกรูป ยกเว้นหลวงตาที่อายุมากแล้ว จะไม่เรียนก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสำนักกรรมฐาน ฝึกอบรมด้านวิปัสสนา
เมื่อครั้งปีฉลองสองร้อยปีกรุงเทพมหานคร อารามแห่งนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนที่เป็นสำนักเรียนและส่วนที่เป็นสำนักกรรมฐาน แบ่งงานกันชัดเจน อาจจะมีบ้างที่พระอายุมากมาเรียนภาษาบาลี บางรูปได้เป็นพระมหาเปรียญตอนอายุ 70 ปีก็มี
เรียนภาษาบาลีทั้งวันหากไม่มีความอดทนจริงๆก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะภาษาบาลีค่อนข้างยาก บางคำแปลแล้วแปลอีกก็ยังจำไม่ได้ ช่วงนั้นไม่ได้คิดว่าจะเรียนภาษาบาลีไปทำอะไร เรียนเพราะมีความจำเป็นต้องเรียนเท่านั้น ต้องสารภาพว่าไม่ได้ใส่ความรักในการเรียนเข้าไปเลย
เวลาว่างหลังเลิกเรียนจึงอ่านหนังสือนิยาย โดยมีร้านให้เช่าคิดราคาไม่แพง เช่าได้ครั้งละเจ็ดวัน เช่ามาครั้งละสี่ห้าเล่มก็ผลัดกันอ่าน ค่าเช่าช่วยกันออก ใครอ่านจบก่อนก็จะไปแลกกับเพื่อนที่กำลังอ่านเล่มอื่นอยู่ ใครที่อ่านช้าก็จะไม่ทันใจเพื่อน มีกติกากันว่า เล่มหนึ่งให้อ่านไม่เกินห้าชั่วโมงต้องจบก่อนเที่ยงคืน อ่านจบมาพบกันที่กุฎิที่นัดกันไว้ ใครที่อ่านนานเกินกว่านั้นก็ต้องคอย
ผู้เขียนอ่านหนังสือช้า สี่ห้าทุ่มพวกเพื่อนจึงมารอที่กุฎิ ฉันน้ำร้อน น้ำชา กาแฟและแลกหนังสือกันไปอ่านต่อ ช่วงนั้นกำลังนิยมอ่านหนังสือประเภทกำลังภายใน ที่พอจำได้ก็มีฤทธิ์มีดสั้น มังกรหยก เหยี่ยวเดือนเก้า จอมดาบหิมะแดง กระบี่ไร้เทียมทาน เล็กเซี่ยวหงส์ เป็นต้น นิยายไทยก็อ่านประเภทเพชรพระอุมา ผู้ชนะสิบทิศก็ผ่านสายตามาทุกเล่ม อ่านอยู่นานจนเกือบจะเรียกได้ว่าอ่านทั้งร้าน อ่านทุกเล่มที่มีให้เช่าในร้าน จนทางร้านเมื่อมีหนังสือเล่มใหม่ก็จะนำมาส่งที่ให้อ่านก่อน เมื่อไม่มีอะไรจะอ่านก็เขียนและแบ่งกันอ่าน สมัยนั้นก็ใช้นามปากกาว่า "เถียนฉาง" นี่แหละ
จึงมีนามเรียกขานกันในกลุ่มกันเล่นๆเช่น ลี้หน้าดำ เล็กเขี้ยวขาว เอี้ยคล้าย ก้วยเจ๋ง เขียวปิ๊กลี้ เป็นต้น ผู้เขียนเพื่อนเรียกขานว่า “เถียนฉาง” ซึ่งจำไม่ได้ว่ามาจากตัวละครเรื่องใด นานๆเข้าก็เหลือแต่ คำว่า “เถียน” เรียกขานกันจนติดปากโดยไม่รู้ความหมายว่าคำนั้นแปลว่าอะไร
เมื่อถึงทางแยกแต่ละคนก็ต้องเลือกทางเดินของตัวเองว่าจะไปทางไหน ทางเดินของพระภิกษุในยุคฉลองสองร้อยปีกรุงเทพฯนั้นมีให้เลือกสองทางคือสายปริยัติและสายปฏิบัติ ต้องเลือกทางใดทางหนึ่งบางรูปเลือกทางด้านปฏิบัติไปอยู่ตามสำนักกรรมฐานปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาส เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาก็หลายรูป
ส่วนผู้เขียนเลือกเดินทางด้านปริยัติ เพราะชอบอ่านหนังสือ จึงเดินทางมาศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานคร เรียนอยู่หลายปีเมื่อจบตามหลักสูตรแล้วก็เปลี่ยนจากนักเรียนมาเป็นครูสอน บางครั้งเป็นทั้งครูเป็นทั้งนักเรียน หลายครั้งที่ท้อแท้ไม่แน่ใจในทางที่ตนเองเลือก แต่ทว่าปัจจุบันนี้คิดว่ามาถูกทางแล้ว เมื่อมีโอกาสได้เลือกก็ต้องเลือกทางที่คิดว่าดีที่สุดแม้การเลือกนั้นจะผิดในเวลาต่อมาก็ไม่ต้องไปโทษตัวเอง เพราะถึงอย่างไรเราก็ได้เลือกแล้ว จะย้อนกลับไปเลือกอีกครั้งคงไม่ทันการแล้ว
เมื่อกาลเวลาผ่านไป บางท่านก็ลาสิกขาออกไปมีครอบครัว มีลูกโตเป็นหนุ่มก็นำมาฝากให้บวชกับพระภิกษุที่เคยเป็นเพื่อนเก่าเมื่อครั้งกระโน้น บางท่านเดินทางไปจำพรรษาต่างประเทศ ไม่ได้ติดต่อสื่อสารกันอย่างจริงจัง นานๆพบกันที หลายปีจึงพบกันสักครั้ง บางรูปเหมือนหายสาบสูญไปจากโลกนี้
จู่จู่ก็มีข้อความผ่านมาทางโทรศัพท์ทักทายว่า “สบายดีไหมท่านเถียนฉาง” เปิดดูที่มาของผู้ส่งจึงรีบโทรกลับไปทักทาย เป็นเพื่อนเก่าสมัยก่อนจริงๆ ไปอยู่จำพรรษาที่ต่างประเทศนานหลายปี จนนึกว่าลาสิกขาไปมีครอบครัวแล้ว แต่ท่านยังอยู่ในสมณเพศอายุเลยหลักห้าใกล้หลักหกแล้ว
ส่วนผู้เขียนยังอยู่ตามสมควรแก่อัตภาพ มีหน้าที่สอนภาษาบาลีให้แก่พระภิกษุสามเณรเกือบทุกวัน และหากมีเวลาว่างก็ยังคงเรียนภาษาบาลีที่เรียนมานานกว่าสามสิบปีแล้วก็ยังเรียนไม่จบชั้นสูงสุดสักที แต่ในการเรียนครั้งนี้เรียนแล้วมีความสุข เรียนด้วยตนเอง เรียนช้าๆ ค่อยๆอ่านค่อยๆคิดวิเคราะห์ไม่ได้รีบร้อนอะไร สอบตกหรือสอบได้ไม่ใช่ประเด็นปัญหา บางปีไม่พร้อมก็ไม่เข้าสอบ แต่เมื่อมองไปข้างหน้าก็ยังมีความหวัง ต้องมีสักวันที่จะสอบผ่านประโยคสูงสุดของการศึกษาวิชาภาษาบาลี
เพราะการเรียนในอดีตเป็นพื้นฐาน ย้อนคิดกลับไปยังอดีตที่ผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความสุขที่ได้อาศัยพักพิงสำนักเรียนนั้น มองย้อนหลังก็ยังมีความสุข อย่างน้อยที่สุดก็ได้รับรู้ว่ายังมีเพื่อนที่เคยร่วมเรียน ร่วมอ่านนิยายกำลังภายในหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม อดีตที่ดีมีไว้จดจำ ส่วนอดีตที่ซอกซ้ำจะจดจำไปทำไม
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
30/07/57