วันที่ 14 เมษายนของทุกปีรัฐบาลประกาศให้เป็นวันครอบครัว หลายท่านคงได้เดินทางไปพบกับครอบครัว ได้สนทนาพูดคุยเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา หรือให้ครอบครัวพบเห็นว่ายังมีชีวิตเป็นปกติสุข แต่สำหรับคนที่ไม่มีครอบครัวหรือมีแต่ไม่สามารถเดินทางกลับไปเยี่ยมเยือนเล่าจะทำอย่างไร คงต้องบอกว่าอาศัยความเหงาเป็นเพื่อน โดยเฉพาะคนแก่หรือคนที่เริ่มแก่มักจะมีความหลังคอยย้ำเตือนอยู่ในใจเรียกว่า “มองไปข้างหน้าหมดหวัง มองไปข้างหลังหดหู่”
วันครอบครัวปีนี้หลวงตาไซเบอร์ตั้งใจว่าจะลองทำตัวเป็นคนแก่ที่ไร้ญาติขาดมิตร ไม่โทรศัพท์หาใคร ตั้งใจพักผ่อนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายสักวันหนึ่ง หัวอกคนแก่เป็นอย่างไรนั้นพยายามทำความเข้าใจโดยสมมุติตนเป็นคนแก่เสียเอง วันเวลากำลังจะผ่านไปด้วยดีอยู่แล้ว บังเอิญมีเสียงโทรศัพท์บอกว่าต้องการงานชิ้นหนึ่งด่วนมาก พยายามส่งเนื้อหาทางอีเมล์ แต่บังเอิญว่าที่วัดบวรนิเวศนิเวศอินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ ทำให้ไม่มีทางเลือกจึงต้องออกเดินทางด้วยตนเอง
วันนี้ถนนหนทางในกรุงเทพมหานครว่าง เดินทางไม่นานก็ไปถึง พอจัดการเรื่องงานเสร็จเรียบแล้ว จึงเดินทางมุ่งหน้าไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต้องการแค่เดินไปดูพี่น้องชาวเสื้อแดงเท่านั้น แต่ช่วงเวลาประมาณสี่โมงเย็นมีคนเป็นจำนวนมากกำลังมุงดูซากรถถัง รถทหารที่ถูกพลิกคว่ำ ปล่อยลมขวางอยู่กลางถนนดินสอหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการพิสูจน์หลักฐานเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10เมษายนที่ผ่านมา รอยเลือดแห้งกรังยังเหลือให้เห็น ผู้คนทั้งไทยและฝรั่งต่างพยายามถ่ายภาพตัวเองกับรถถังเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก
สัญชาติญาณของคนชอบถ่ายภาพจึงได้เก็บเป็นที่ระลึกบ้าง การ์ด นปช.แวะเข้ามาทักทายพร้อมทั้งแนะนำให้ถ่ายภาพรอยกระสูนปืน รอยเลือด เขาชี้ให้ดูที่รอยกระสูนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ต้นไม้ ที่เสาไฟฟ้า ซึ่งมีรอยให้เห็นอยู่หลายแห่ง พอถ่ายภาพได้สักพักจึงได้นั่งลงมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา คุณลุงท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า “บ้านผมอยู่ในซอยนี้ มองเห็นเปลวไฟที่พุ่งออกจากกระบอกปืนได้ชัดเจนซึ่งมาจากทุกทิศทาง แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง ผมจำได้ว่าพอโฆษกประกาศว่าพี่น้องไม่ต้องกลัวทหารแตงโมมาช่วยเราแล้ว เท่านั้นแหละครับเสียงตูมขึ้นเลย ผมมองเห็นทหารเล็งปืนไปที่อนุสาวรีย์พร้อมทั้งปล่อยกระสูนเป็นชุด แต่ด้วยความชุลมุนวุ่นวายสักพักเห็นทหารวิ่งมาที่ซอยบ้านผมซึ่งเป็นซอยตันไม่มีทางออก พร้อมทั้งคนเสื้อแดงไล่ตาม ผมจึงบอกให้ทหารหนีไปอีกทาง เพราะกลัวว่าเมื่อไม่มีทางออกอาจเป็นอันตรายได้” เมื่อถามว่าเสียงที่เขาปราศรัยไม่หนวกหูหรือ คุณลุงตอบว่า “ตอนนี้ผมชินแล้ว บางเรื่องที่เขาพูดผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ลุงอีกคนบอกว่าผมมาจากอุทัยธานี เป็นทหารเก่าบอกว่า “อย่าโทษใครเลยครับ เวลาชุลมุนวุ่นวายทุกคนก็ต้องป้องกันตัว ผมเป็นพวกเสื้อแดง แต่เห็นใจทหาร”
คุยกันไปสักพักก็มีคนเสื้อแดงอีกหลายคนเข้ามาร่วมวงด้วย พวกเรานั่งคุยกันไปฟังเสียงปราศรัยไป มองไปที่อนุสาวรีย์ที่กำลังสะท้อนแสงพระอาทิตย์ยามอัสดงเหมือนกำลังถูกชโลมด้วยเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์ หากอนุสาวรีย์พูดได้คงต้องบอกว่าหยุดฆ่ากันเสียทีคนไทยเอ๋ย บ้านเมืองสูญเสียมามากพอแล้ว หันหน้ามาหากันแบ่งปันความรักกันเถิด วงสนทนาเริ่มมีคนแวะเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนอยากเล่าประสบการณ์ให้หลวงตาไซเบอร์ฟัง โลกนี้เราไม่ได้อยู่คนเดียวเพียงแต่เปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นโลกทั้งผองก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น
รู้สึกหดหู่ในหัวใจที่คนไทยต้องฆ่ากันเองเพียงเพราะความเห็นไม่ตรงกัน จึงเดินต่อไปมุ่งหน้าสู่ผ่านฟ้าลีลาส วันนี้ผู้คนเบาบาง แต่ละคนกำลังเก็บข้าวของ แอบหวังลึกๆในใจว่าคงเลิกชุมนุม แต่เมื่อสอบถามกลับได้ความว่ามีคำสั่งให้ย้ายไปรวมกันที่ราชประสงค์แห่งเดียว เวทีที่ผ่านฟ้าลีลาศจึงเงียบเหงา คนเสื้อแดงค่อยๆทยอยขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ราชประสงค์ ค่อยๆหายไปทีละคัน จึงแต่ได้เก็บภาพต่างๆไว้เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ หันไปเห็นคุณลุงเสื้อแดงนั่งนั่งร้องให้สลับหัวเราะข้างๆป้ายจึงแวะเข้าไปถาม แกตอบว่า “พวกเขาทิ้งผมไปหมดแล้ว ผมจะอยู่กับใคร สู้กันมาเป็นเดือนต่อไปคงเงียบเหงา” เมื่อถามว่าทำไมไม่ตามไปราชประสงค์ แกตอบว่า “ผมทำงานอยู่แถวนี้ ทิ้งผ่านฟ้าไปไหนไม่ได้” คุยไปคุยมาจึงรู้ตัวว่ากำลังสนทนาอยู่กับคนสติไม่ค่อยดี แต่ทำไมคุยกันรู้เรื่อง หรือว่าเราก็ใกล้จะเป็นคนสติไม่ดีเข้าไปทุกที
การ์ดเสื้อแดงบอกให้ถ่ายภาพแกบ้าง หลวงตาไม่ขัดศรัทธา ถ่ายให้ตามคำขอ แต่ไม่รู้จะส่งไปให้การ์ดคนนั้นอย่างไร ดูทางเว็บไซต์ก็แล้วกัน “ผมมาที่นี่ตั้งแต่วันแรก ไม่เคยหนีไปไหนเลย ผมลาออกจากงานประจำแล้ว มาทำหน้าที่การ์ด นปช.อย่างเดียว มีอยู่มีกินไม่อดอยาก คงต้องตามไปที่ราชประสงค์ ผมรักประชาธิปไตย รักความถูกต้องชอบธรรม พวกอำมาตย์ต้อง............ ประโยคสุดท้ายเขียนไม่ได้เดี๋ยวเว็บไซต์โดนปิด ปล่อยให้คิดเอาเอง...
เดินต่อไปจนถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ รอบๆทางเดินเหลือแต่เต็นท์ที่รอวันเก็บ ผู้คนทยอยเก็บเข้าของและพร้อมจะออกเดินทาง คุณลุงท่านหนึ่งกำลังหาเก็บเศษขยะเต็มคันรถจักรยาน เมื่อเข้าไปถามคุณลุงหันมาตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “วันนี้โชคดีคงขายได้หลายบาท ผมขนสินค้าเป็นรอบที่สามแล้วครับ ทุกครั้งเต็มคันรถ(จักรยาน)ได้ลูกปืนมาหลายลูกไม่รู้ว่าจะไปขายให้ใคร” รอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความสุขเพราะทำการค้าได้ดี โลกนี้ยังน่าอยู่ถ้าไม่หดหู่ในหัวใจ แม้งานที่ทำจะไม่ยิ่งใหญ่แต่หัวใจไม่คิดโกงกิน ชีวิตก็อยู่ได้
วันนี้ตั้งใจว่าจะลองทำตัวเป็นคนแก่ดูสักวัน แต่กลับกลายเป็นเหมือนนักข่าวรายงานเหตุการณ์วันย้ายที่มั่นของพวกคนเสื้อแดง รู้สึกว่าชีวิตบางครั้งก็ไม่ได้หงอยเหงาเศร้าสร้อยอย่างที่เราคิด เมื่อเปรียบเทียบกับคนทุกข์ยากอีกหลายร้อยหลายพันคนที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์นี้ หากรักษาชีวิตไว้ได้ปีต่อไปจะกลับไปเยี่ยมญาติที่อยู่ทางไกล ปีนี้ขอเยี่ยมญาติที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เป็นญาติที่เกิดมาเผชิญชะตากรรมร่วมโลก เมื่อพวกเขาทุกข์เราจะสุขอยู่ได้อย่างไร ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ แต่ถ้ามัวแต่ถือความเห็นของตนเป็นใหญ่ไม่ฟังเสียงคนอื่นเลย ก็ยากจะแก้ไข ตราบใดที่ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นต่อไป แม้จะแก่ก็ไม่เป็นไร “ต้องมองไปข้างหน้าอย่างมีหวัง มองย้อนหลังอย่างมีความสุข” โลกทั้งผองก็จะกลายเป็นเหมือนพี่น้องกัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
15/04/53