ธารน้ำใสไหลแรงอันเกิดจากน้ำแข็งละลายจากยอดเขากระทบโขดหิน เป็นเหมือนลำนำแห่งสวรรค์ที่เกิดขึ้นยังโลกมนุษย์ คนเลี้ยงแกะต้อนแกะออกหากินตามท้อทุ่ง ขับขานบทเพลงแห่งคนคนเลี้ยงแกะบ่งบอกถึงความสุขของการดำเนินชีวิต คนเลี้ยงม้าจูงม้าออกหากินตามริมธาร ส่วนเจ้าของก็เอนกายลงนอนริมธารน้ำปล่อยให้ม้าหากินตามสบาย เจ้าของม้าก็ขับขานบทเพลงพื้นบ้านอย่างสบายอารมณ์ แม้จะฟังสรรพสำเนียงไม่ออก แต่ทว่าท่วงทำนองแห่งบทเพลงของชาวบ้านนั้นบ่งบอกถึงความสุข หากมีความสุขแล้วมนุษย์ยังจะแสวงหาสิ่งอื่นใดอีกเล่า
ปาหัลคาม ปาหัลแกม ปาห์ลกัมหรือปหาลกัม (Pahalgam) ฟังสำเนียงของชาวเมืองไม่ค่อยถนัด ดูเหมือนว่าจะออกเสียงเป็น “ปาห์ลกัม” มากกว่า ไม่มีเสียงตัว “ฮ” ให้ได้ยิน แต่ถ้าหากสะกดตามอักษรภาษาอังกฤษก็จะเป็น “ปาหัลคามหรือปาหาลคามหรือปาหัลแกม” ภาษาพื้นเมืองหมายถึงเมืองแห่งคนเลี้ยงแกะ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 7200 ฟุต เมืองนี้ตั้งอยู่ในหุบเขามีธารน้ำใสที่เกิดจากหิมะละลายไหลผ่าน ตามริมธารบางแห่งยังเห็นหิมะสีขาวเป็นหย่อมๆ บางแห่งกำลังละลายกลายเป็นเหมือนสายน้ำตกเล็กไหลลงยังแม่น้ำอันเชี่ยวกราก เสียงธารน้ำกระทบกับโขดหินเป็นเหมือนบทเพลงแห่งราวป่า ได้ยินแล้วเบิกบานสำราญใจ
วันนั้นเดินทางออกจากศรีนาคามุ่งหน้าสู่ปาหัลคาม สองข้างทางที่ไต่ตามไหล่เขา แม้ระยะทางจำไม่ไกลนัก แต่ทว่าการเดินทางต้องไปช้าๆ บางแห่งถนนแคบมากเวลามีรถสวนทางก็ต้องแอบหลบเข้าข้างทางให้รถอีกคันไปก่อน กาลเป็นไปดั่งนี้ ระยะทางจากศรีนาคาถึงปาหัลคาม 99 กิโลเมตรต้องใช้เวลาเดินทางถึงห้าชั่วโมง เหมารถยนต์สี่ล้อหนึ่งคันในอัตราวันละ 1400 รูปีเดินทางสี่รูป หากคำนวณแล้วก็จะตกคนละ 350 รูปี คิดเป็นเงินไทยประมาณ 175 บาท
วิถีชีวิตของผู้คนในเมืองนี้ส่วนหนึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ ตามไหล่จะปลูกพืชพรรณธัญญาหาร สัตว์ที่เลี้ยงคือแกะ แพะ และม้า จึงได้เห็นคนเลี้ยงแกะต้อนแกะออกหากินตามสองข้างทาง นอกจากนั้นยังมีคนเลี้ยงม้าขี่ม้าจูงม้าตามริมถนน บางแห่งมีม้าเป็นฝูงหลายร้อยตัว แต่เนื่องจากไม่อยากรบกวนเวลาของการเดินทาง จึงทำได้เพียงถ่ายภาพในขณะที่รถวิ่ง หมุนกระจกลงนิดหนึ่งแต่นานไม่ได้ความหนาวของอากาศภายนอกจะโหมกระหน่ำเข้ามา ภาพที่ได้จึงชัดบ้างเบลอบ้าง ขาดๆเกินๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่ทว่าก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการถ่ายภาพ คือได้ภาพที่เป็นธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนจริงๆโดยไม่มีการปรุงแต่ง
มาถึงปาหัลคามได้เวลาฉันภัตตาหารพอดี เลือกร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีหิมะปกคลุมอยู่หน้าร้าน คนงานกำลังโกยหิมะออกจากบริเวณ ในช่วงที่รออาหารอย่านั้น ก็ถือกล้องเดินออกมาข้างนอก อากาศไม่ค่อยหนาว แม้จะมีหิมะเป็นหย่อมๆตามเนินดินอยู่บ้าง มองเห็นฝูงคนและม้าจำนวนมากในคอกม้าใกล้ถนน จึงเดินเข้าไปหาขออนุญาตถ่ายภาพม้า เมื่อคนเลี้ยงม้าทั้งหลายบอกอนุญาตจึงถ่ายภาพม้าไปเรื่อยๆ ม้าเหล่านี้คือพาหนะในการประกอบอาชีพอย่างหนึ่งของชาวเมืองนี้ โดยให้นักท่องเที่ยวเช่าม้าขี่ชมเมือง ม้าจะเดินเหยาะย่างไปตามทางตามแนวป่าสนและหมู่บ้านในชนบท
ถ่ายภาพม้าไปสักพักเจ้าของม้าทั้งหลายก็ขอให้ถ่ายภาพพวกเขาบ้างจึงสนองตอบ ถ่ายภาพหมู่เป็นส่วนมาก พวกเขาก็แย่งกันตั้งท่าให้ถ่ายภาพอย่างอารมณ์ดี เมื่อถ่ายเสร็จก็ให้พวกเขาดูภาพที่ถ่ายแล้ว ตอนนั้นก็เกิดมหกรรมแย่งกันดูภาพ ผู้ถ่ายภาพอยู่ในท่ามกลางผู้คนนับสิบคนที่คงไม่ค่อยได้อาบน้ำเพราะอากาศหนาวนั่นเอง บรรยายและกลิ่นอายบรรยายไม่ถูก ทั้งกลิ่นขี้ม้าและกลิ่นอื่นๆ สุดฝืนจริงๆ ตัวเราเองก็คงไม่ได้แตกต่างจากพวกเขาเท่าไหร่ กี่วันมาแล้วนะที่น้ำไม่อาบ ผ้าไม่ได้ซัก คงมีกลิ่นไม่แตกต่างกันสักเท่าใด
เมืองปาหัลคามยังเป็นที่นิยมในการถ่ายภาพยนตร์ เพราะมีทัศนยภาพที่สวยงาม ป่าไม้ยังคงสภาพสมบูรณ์ ลำธารน้ำใส วิถีชีวิตของผู้คนยังเป็นไปแบบโบราณ บ้านเก่าๆ ริมมีรั้วบ้านมีผักผลไม้ บางแห่งลานบ้านยังเป็นสวนผัก เพียงเดินลงจากบ้านก็เก็บผักผลไม้เป็นอาหารได้แล้ว แม้ว่าหมู่บ้านบางแห่งจะมีโรงแรมอันโอ่อ่าแทรกอยู่ในระหว่างก็ไม่ได้ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปเท่าใดนัก น่าที่อากาศเหมาะในการท่องเที่ยวที่สุดประมาณเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม หิมะคงละลายหมดแล้ว ดอกไม้ที่เก็บตัวอยู่ใต้พื้นหิมะจะเบ่งบานสะพรั่ง
ลำธารน้ำใส หิมะ ป่าสน บ้านเก่า ฝูงม้า แพะ แกะ และชาวบ้านที่ดำเนินชีวิตตามธรรมดานั่นแลคือเสน่ห์ของเมืองปาหัลคามแห่งนี้ แม้ว่าในตัวเมืองจะได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย มีโรงแรม ที่พักจำนวนมาก แต่ก็ยังมีบ้านของชาวบ้านที่ดัดแปลงเป็นที่พักแทรกตัวอยู่ตามป่าสน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบเงียบ หากใครคิดจะสร้างอารมในเมืองนี้น่าจะเหมาะกว่าที่ศรีนาคา อย่างน้อยก็ได้ฟังเสียงธารน้ำใสไหลเย็นตลอดปี
นักท่องเที่ยวที่มาเมืองนี้ที่นิยมที่สุดน่าจะเป็นการขี่ม้าชมเมือง แต่วันนั้นไม่ได้ขี่ ในช่วงแรกตกลงกันก่อนออกเดินทางว่าจะพักค้างคืนที่ปาหัลคามหนึ่งคืน พอรุ่งเช้าจึงจะเข้าเมืองจัมมู ซึ่งอยู่ห่างไปอีก 287 กิโลเมตร แต่ทว่าพอฉันภัตตาหารเพลเสร็จ ทุกคนก็เกิดเปลี่ยนใจโดยพร้อมเพรียงกันว่า ไม่ควรจะพักเพราะไม่มีอะไรน่าเที่ยวอีกแล้ว ม้าพวกเราก็ไม่กล้าขี่ หิมะก็ไม่สวย สู้ใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกครึ่งวันเดินทางไปยังเมืองจัมมูน่าจะดีกว่า
วันนั้นจึงได้อยู่ที่เมืองปาหัลคามเพียงครึ่งวัน ไม่ได้ของฝากใดๆ จากเมืองนี้เลย นอกจากความทรงจำและภาพถ่ายของเหล่าบรรดาม้าและคนเลี้ยงม้า ติดมาที่กล้อง ยังนึกไม่ออกว่าจะส่งภาพของมิตรสหายที่พึ่งได้พบพานเพียงชั่วครู่นี้ให้พวกเขาได้อย่างไร
ธารน้ำใสยังไหลเย็นกระทบโขดหินกลายเป็นเสียงดนตรีแห่งสายน้ำ เมื่อฟังอย่างตั้งใจเป็นประหนึ่งเสียงอวยพรจากสายน้ำให้เดินทางไปยังจัมมูโดยปลอดภัย ได้ยินเสียงคนเลี้ยงม้าขี่ม้าร้องเพลงพื้นเมืองที่ฟังไม่ออก แต่ท่วงทำนองช่างเบิกบานสำราญใจ พอเพียงกับชีวิตที่มีอยู่ เลี้ยงม้า ปลูกพืชผักผลไม้พอหล่อเลี้ยงชีวิต ได้อาบน้ำดื่มกินจากลำธารที่รินไหลชั่วนาตาปีไม่มีวันสิ้นสุด ตราบใดที่หิมะบนภูเขายังละลายไม่หมด
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
29/04/57