หน้าหนาวโบกมือลาไปหลายวันแล้วกำลังจะย่างกรายเข้าสู่หน้าร้อนอากาศร้อนเริ่มแผ่รังสีแห่งความร้อนระอุเพิ่มขึ้น จิตใจมนุษย์ก็รุ่มร้อนไปด้วย ร้อนภายนอกแม้โหดร้าย แต่หากเกิดความร้อนภายในทรมานมากยิ่งกว่าหลายเท่า ความวุ่นวายภายนอกพอมองเห็นเหตุ แต่ทว่าความเร่าร้อนภายในบางครั้งหาสาเหตุไม่พบ เพราะหลบซ่อนอยู่ลึกในก้นบึ้งแห่งหัวใจไม่ยอมปรากฏกายให้สนทนาหาทางแก้ปัญหาได้เลย ปัญหาภายนอกเหมือนลมที่พัดผ่าน แต่ปัญหาภายในเหมือนลมที่ไร้ทิศทาง
หลายวันมานี้มักจะมีโทรศัพท์แปลกๆ เป็นเสียงจากปลายสายที่ไม่คุ้ยเคย ไม่รู้จัก แต่ดูเหมือนว่าต้นสายจะเอ่ยนามผู้เขียนได้ชัดเจนประหนึ่งคนที่เคยรู้จักมักคุ้นกันมานาน บางครั้งขอบทความจากเว็บไซต์เพื่อนำไปลงพิมพ์ในหนังสือบ้าง เล่าปัญหาชีวิตให้ฟังบ้าง และถามวิธีแก้ปัญหาว่าควรจะทำอย่างไร ทำให้นึกถึง “ศิราณี” นักตอบปัญหาเกี่ยวกับชีวิตและความรักในอดีต
“ศิราณี” ชื่อนี้บ่งนามคล้ายเป็นผู้หญิง แต่ศิราณีเป็นนามปากกาของนายถนอม อัครเศรณี เปิดคอลัมน์ตอบปัญหาชีวิตและความรักในหนังสือขวัญเรือนในชื่อคอลัมน์ว่า “ศิราณีคลี่คลายปัญหารัก” พิมพ์เผยแผ่ประมาณ 20-30 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันไม่ได้อ่านมานานแล้ว ไม่รู้ว่ายังมีตัวแทนศิราณีอยู่หรือไม่ ศิราณีคนเดิมน่าจะเสียชีวิตแล้ว สมัยเป็นหนุ่มผู้เขียนเคยอ่านโดยหาอ่านตามห้องสมุดหรือในยามที่ได้พบหนังสือเล่มนี้ คิดจะเขียนไปถามปัญหาหลายครั้ง แต่เขียนจบเมื่อไหร่มักจะได้คำตอบก่อนที่จะถามทุกที จึงเลยไม่มีโอกาสได้ส่งสักครั้ง การเขียนถึงความทุกข์ของตัวเองจึงเป็นเหมือนการระบายความทุกข์อย่างหนึ่ง
ทุกวันนี้ปัญหาของคนมีมากและสลับซับซ้อนมากกว่าสมัยก่อน หากศิราณีกลับมาตอบปัญหาไม่รู้จะแก้ได้หรือไม่ เนื่องจากประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่จะตอบปัญหาให้ตรงเป้าจึงกระทำได้ยาก
ตัวอย่างปัญหาของชายคนหนึ่งโทรศัพท์มาถามว่า “ไม่มีใครเข้าใจผมเลย ไม่มีใครอยากคบหากับผมเลยจะทำอย่างไรดี บางครั้งกลุ้มใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกนี้” วันนั้นอารมณ์ดีใจสบายจึงค่อยๆถามไปว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร ทำงานที่ไหน ใครที่ไม่เข้าใจ อยากเล่าก็เล่าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ค่อยๆคิดก็ได้ อาตมาเองก็ยังแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้เหมือนกัน”
เสียงจากปลายสายจึงเริ่มเปลี่ยนหันมาถามว่า “ท่านเป็นอะไร มีปัญหาอะไร”
อาตมามีปัญหาชีวิตที่ไม่เคยแก้ได้ ปัญหาหนึ่งกำลังจะมลาย ปัญหาใหม่ก็ตามมาอีก จึงต้องคอยแก้คอยประคับประครองตนเองให้อยู่ได้ในโลกอันวุ่นวายนี้ให้ได้อย่างพอเหมาะพอควร”
คนที่กำลังประสบปัญหาจึงมีน้ำเสียงดีขึ้น จึงได้บอกเพียงสั้นๆว่า “แม้จะไม่มีใครเข้าใจเรา แต่ขอให้เราเข้าใจตัวเองก็พอ ปัจจุบันเรากำลังทำอะไร คิดอะไร ถึงหากใครจะไม่สนใจก็ไม่เห็นเป็นไร ชีวิตเป็นของเรา เราเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ลองหยุดคิดพิจารณาตนสักสองสามวัน หากไม่ได้ผลค่อยหาทางใหม่ ปัญหามีไว้ให้แก้ มิใช่มีไว้ให้กลุ้ม” จากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ขาดหายไป หลายวันมาแล้วคิดจะโทรศัพท์ถามข่าวแต่ก็ไม่ได้ทำ เรื่องของเรื่องเป็นสิทธิของเขา แต่เรื่องของเรายังพอแก้ปัญหาเองได้ ยังพออดพอทนอยู่ในโลกใบนี้ได้ แม้โลกจะวุ่นวาย แต่ใจยังเย็นพอ รอได้ ไม่เดือดร้อน
ตอนนั้นในดวงจิตพลันหวลคิดถึงชายชราชาวเมียนมาร์อีกคนที่ดวงตาบอดข้างหนึ่งนั่งทำใจสงบข้างๆวิหารพระมหามัยมุนี มัณฑเลย์ แม้จะใส่แว่นตาดำ แต่เมื่อพบกับพระภิกษุชายคนนั้นก็ยอมถอดแว่น เหมือนกับจะบอกว่า แม้ตาผมจะบอด แต่จิตใจผมไม่ได้บอด ผมยังอยู่ใกล้พระมากราบไหว้พระทำใจให้สงบ ข้างๆมีเด็กชายตัวเล็กๆกำลังนั่งสมาธิ แม้ว่าวันนั้นอากาศจะร้อน แต่ก็รู้สึกรับรู้ได้ถึงความเย็นจากดวงเนตรของพระมหามัยมุนีที่เพ่งมายังพุทธศาสนิกชนที่พากันมากราบไหว้และปิดทองจนเต็มไปทั้งองค์ เหมือนกับจะบ่งบอกว่าไม่มีร่มเงาใดจะร่มเย็นเท่าร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นหากรู้ว่ามีคนที่มีความทุกข์มากกว่าเราก็จะรู้สึกว่าทุกข์ที่เรากำลังประสบนั้นได้เบาบางลงแล้ว โลกถูกล้อมไว้ด้วยชรา ถูกปัญหาทั้งหลายครอบงำ หากดเข้าใจธรรมชาติของชีวิตแล้ว ความเดือดร้อนทั้งหลายที่เราประสบก็เป็นเหมือนสายลมที่พัดผ่าน ไม่นานก็มีสายลมใหม่โหมกระหน่ำเข้ามาอีก ปีหนึ่งมีหลายฤดูร้อน ฝน หนาว แปรเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามกาล ชีวิตมนุษย์ก็ต้องมีทั้งร้อน ฝนหรือหนาวโหมกระหน่ำเฉกเช่นเดียวกัน เพราะมีความอยากจึงทำให้จิตใจเร่าร้อน มนุษย์ถูกความอยากเผาให้เร่าร้อนอยู่เป็นนิจ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตอบคำถามของเทวดาตามที่ปรากฏในอัพภาหตสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/188/47) ครั้งหนึ่งเทวดาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “โลกอันอะไรหนอกำจัดแล้ว อันอะไรหนอล้อมไว้แล้ว อันลูกศรคืออะไรเสียบแล้ว อันอะไรเผาแล้วในกาลทุกเมื่อ”
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบว่าเทวดาว่า “โลกอันมฤตยูกำจัดแล้ว อันชราล้อมไว้แล้ว อันลูกศรคือตัณหาเสียบแล้ว อันความอยากเผาให้ร้อนแล้วในกาลทุกเมื่อ”
ตอนนั้นคิดถึงหญิงชาวเนปาลคนหนึ่ง แขนซ้ายเธอขาดเสมอศอก แต่ทว่าก็ยังออกมาทำมาหากินประกอบอาชีพขอทานใกล้บริเวณลุมพินี อันเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า แขนข้างซ้ายหิ้วกระเป๋า ส่วนข้างขวาก็ทำอาการเหมือนกำลังยกมือไหว้ แต่เป็นการไหว้ด้วยมือข้างเดียว ปากก็แย้มยิ้มเหมือนกับจะบอกว่าเธอยอมรับชะตากรรมของตนเอง เธอไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตายังคงทำมาหากินตามสมควรเท่าที่พอจะทำได้ โลกนี้ยังมีที่ยืนสำหรับผู้ที่ไม่ยอมแพ้
ปัญหาของแต่ละคนมีสาเหตุไม่เหมือนกัน การที่คนหนึ่งจะไปแก้ปัญหาให้อีกคนหนึ่งนั้นคงทำได้ยาก ที่พอจะทำได้พียงแต่เป็นการให้กำลังใจและให้ทางเลือกในการแก้ปัญหา แต่ในวันที่ได้ฟังปัญหาชีวิตของใครหลายคนแล้ว วันนี้เกิดนึกถึง “ศิราณี” ขึ้นมา อยากให้มีคนมาช่วยแก้ปัญหาชีวิตให้คนยุคใหม่
เมื่อสืบค้นข้อมูลก็ได้วิธีในการตอบปัญหาของศิราณีโดยสรุปได้สิบประการคือ (1) เป็นกระจกสะท้อนปัญหา (2) ให้ทางเลือกไม่ใช่ให้คำตอบ (3) อย่าบังคับจิตใจ (4) ให้กำลังใจ อย่าซ้ำเติม (5) ทำตัวเป็นกลาง (6) เก็บความลับไว้กับตัว (7) อย่าอินเกินไป (8) อย่าใส่สีตีไข่ (9) อย่าขโมยซีน (10) อย่ายุส่ง
วิธีการนี้หากใครจะนำไปใช้ “ศิราณี” คงไม่ว่าอะไร กลับจะดีใจที่มีคนช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่นๆได้ คนที่มีปัญหาส่วนหนึ่งมักจะเป็นผู้ที่ย้ำคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเกิดความเครียด แต่เมื่อได้สนทนากับคนอื่นๆได้บอกเล่าเรื่องราวให้คนอื่นได้รับรู้ แม้จะยังหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ แต่อย่างน้อยความเร่าร้อนภายในก็อาจจะสงบลงได้บ้าง วันนี้ “ศิราณี” นักตอบปัญหาชีวิตที่เคยโด่งดังในอดีตไม่อยู่แล้ว ฝากไว้แต่วิธีการใครจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนทุกข์ยากให้หาวิธีแก้ปัญหา “ศิราณี” คงดีใจ
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
09/03/57