งานประจำปีวัดมัชฌันติการามผ่านไปได้ห้าวันห้าคืนแล้ว วันนี้เป็นวันที่หก ตามกำหนดการคณะกรรมการวัดได้กำหนดไว้เก้าวันเก้าคืน เริ่มตั้งแต่วันที่หกกุมภาพันธ์และไปสิ้นสุดในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชาและวันวาเลนไทน์ ปีนี้บังเอิญตรงกันพอดี วันสุดท้ายของงานปิดงานด้วยการเวียนเทียนในวันมาฆบูชา
มูลเหตุของการจัดงานเพราะปรารภเหตุถึงพระครูธรรมสารวิจิตร(หลวงปู่อ่อน ญาณเตโช) อดีตเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในช่วงปีพุทธศักราช 2440-2457 มรณภาพนานเกือบร้อยปีแล้ว แต่ทว่าวัดมัชฌันติการามยังจัดงานประจำปีเพื่อรำลึกนึกถึงคุณงามความดีของอดีตเจ้าอาวาสรูปแรก จัดทุกปี ช่วงหลายปีที่ผ่านมามักจะจัดเก้าวันเก้าคืน
กิจกรรมในงานนอกจากจะมีการปิดทองหลวงปู่อ่อนแล้ว ทางวัดยังถือโอกาสในการหาปัจจัยเพื่อจะได้นำไปบูรณซ่อมแซมถาวรวัตถุของวัดที่ทรุดโทรมเก่าครำคร่า จึงมีกิจกรรมให้เลือกทำบุญมากมายเช่นเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ถวายสังฆทาน ไหว้พระ สักการะพระบรมสารีริกธาตุ ไหว้พระประจำวันเกิด ผ้าป่าลอยฟ้า ผ้าป่าหนังสือตำราเรียน ร่วมซื่อกระเบื้องมุงคาพระอุโบสถและศาลาการเปรียญที่กำลังซ่อมแซม นอกจากนั้นยังมีการไถ่ชีวิตโคกระบือ ซื้อโรงศพถวายแก่ศพไร้ญาติขาดที่พึ่งเป็นต้น กิจกรรมทั้งหมดนั้นทำตามกำลังศรัทธา โดยไม่ได้กำหนดราคาไว้ตายตัว ใครอยากทำก็ทำ ใครไม่อยากทำก็เพียงแต่ชำเลืองมอง ไม่มีใครว่าอะไรใคร เพราะการทำบุญเป็นเรื่องของศรัทธา
ในส่วนของการแสดงบนเวทีจะมีสองส่วนคือช่วงแรกเป็นการแสดงของเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดมัชฌันติการาม ซึ่งมีตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม การแสดงมีมากมายหลายรูปแบบทั้งร้องรำทำเพลง เต้นรำ มายากล นักร้อง นักดนตรี หรือแม้แต่วงดนตรีก็มาจากนักเรียน ส่วนผู้ชมก็เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองของนักเรียนมาชมมาเชียร์เหล่าลูกหลานที่แสดงบนเวที ลูกใครหลานใครขึ้นเวทีพ่อแม่ก็เพลิดเพลินไปด้วย เรียกว่าทั้งผู้แสดงและผู้ชมมาจากบ้านเดียวกัน จบแสดงก็พากันเดินชมงานวัดต่อไป
จากนั้นก็จะมีเหล่าศิลปินนักร้องมาแสดงให้ชมบนเวที บางวันก็เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง บางวันก็เป็นนักร้องที่กำลังจะมีชื่อเสียง ส่วนจะมีใครบ้างนั้นอันนี้จำไม่ได้ วันก่อนสดใส รุ่งโพธิ์ทอง มาเปิดการแสดงมีผู้ชมคอยชมจำนวนมาก
มีคนถามว่ามางานวัดแล้วได้อะไร คำตอบอาจจะขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน บางคนชอบงานวัดเพราะมีร้านอาหารมาเปิดขาย มาคนอาจจะตอบว่าได้ดูนักร้องได้ฟังเพลงฟรี บางคนยังมีโอกาสได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับนักร้องที่ตนอาจจะเคยได้ยินแต่เสียงมานาน พอได้พบตัวจริงเสียงจริงก็ถือโอกาสถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก
มางานวัดแล้วได้อะไร ขอเสนอคำตอบไว้สั้นๆดังนี้ “ได้แสดงออกถึงความสามัคคี ได้แสดงความมีน้ำใจ หากสนใจได้ศึกษาสังคม ได้มาสะสมความดี ได้ทำตนให้มีประโยชน์”
“ได้แสดงออกถึงความสามัคคี” หมายถึงวัด กับบ้าน(ชุมชน)และโรงเรียนอยู่ร่วมกัน หากต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่มีกิจกรรมอะไรให้คนในสังคมและชุมชนร่วมกันเลย วัดและชุมชนก็จะมีช่องว่างถอยห่างออกไปทุกที งานวัดที่เห็นได้ชัดเจนคือคณะครู นักเรียน ผู้ปกครองมาร่วมงานเนืองแน่นทุกวัน ครูสอนการแสดง นักเรียนแสดง ผู้ปกครองเป็นผู้ชมและให้รางวัล บ้าน วัด โรงเรียน จึงยังคงมีความผูกพันกันอยู่
“ได้แสดงความมีน้ำใจ” งานวัดมีกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งชาวบ้านและชาววัดต่างก็ช่วยกันทำหน้าที่ที่ตนถนัด บางคนช่วยประชาสัมพันธ์ บางคนนำสินค้าประเภทเครื่องใช้ไม้สอยที่ไม่ค่อยได้ใช้แล้วมาวางจำหน่าย โดยรายได้ร่วมสมทบทุนกับทางวัด บางคนมาเปิดให้บริการนวดแก่ผู้ที่มาเที่ยวงาน เงินค่าบริการก็หยอดใส่ตู้บริจาคให้วัด บางคนคอยให้บริการดอกไม้ธูปเทียน กล่าวได้ว่าเมื่อมางานวัดหากจะทำงานจะมีงานให้ทำ งานทุกอย่างเป็นงานที่ใช้จิตอาสา ไม่มีใครถามหาค้าจ้าง บางคนทำงานเสร็จยังร่วมทำบุญอีกต่าง อิ่มทั้งกายและใจ
“หากสนใจได้ศึกษาสังคม” ทุกวันนี้สังคมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก เพราะมีเหตุปัจจัยมากมาย สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาบางอย่างต้องคิดหลายชั้นจึงจะแก้ปัญหาได้ แม้จะวางแผนรอบด้านแล้ว ดำเนินตามกฎหมาย ยึดตามรัฐธรรมนูญแล้วปัญหาก็ยังไม่จบ ผู้คนและสังคมจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหากตั้งใจศึกษาปัญหาทั้งหลายก็ดูได้จากคนมาเที่ยวงานวัด ปีนี้เท่าที่ดูจากยอดบริจาคประจำวัน ที่มีคนร่วมทำบุญมากที่สุดคือดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ อันดับที่สองต้องแปลกใจเพราะทุกปีเป็นสังฆทาน แต่ปีนี้กลับกลายเป็นโรงศพไร้ญาติมาเป็นอันดับสอง ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมคนจึงร่วมทำบุญบริจาคซื้อโรงศพไร้ญาติมากขึ้นกว่าทุกปี
“ได้มาสะสมความดี” โบราณว่า “ดีให้ต่อ ชั่วให้ตัด วิบัติให้ต้าน” ความดีนั้นหากไม่ทำต่อเนื่อง คิดแล้วไม่ทำ ความชั่วที่รอโอกาสอยู่อาจจะปรากฏตัวขึ้นก่อนก็ได้ มีพุทธภาษิตยืนยันไว้ว่า “หากทำดีช้าไปใจจะยินดีในบาป” ดังนั้นในแต่ละปีจึงควรสะสมคุณงามความดีให้เพิ่มขึ้น สะสมความดีไว้มีประจำกายและประดับใจ ฝึกตนให้มีวินัย ฝึกใจให้มีธรรม กายมีศีลสุขล้ำ ใจมีธรรมสุขเลิศ
“ได้ทำตนให้มีประโยชน์” การได้ช่วยเหลือกิจการงานส่วนรวมโดยที่ไม่ได้หวังผลประโยชน์อันใดแก่ตนเองเลย เป็นการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ บางคนเพียงแค่รินน้ำเปล่าใส่น้ำแข็งจากนั้นก็เดินให้บริการฟรีแก่ผู้ที่มาร่วมงาน ได้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นก็เป็นบุญแก่นัยน์ตาแล้ว การทำตนให้มีประโยชน์แม้จะเป็นเพียงแค่งานเล็กน้อย แต่ถ้าหากจิตใจคนทำบริสุทธิ์งานเล็กๆก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำใจให้อิ่มสุขและอาจจะส่งผลให้การทำงานใหญ่ๆสำเร็จได้ โบราณจึงมีข้อคิดว่า “ยามบุญมาวาสนาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก” ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ค่อยได้ทำบุญ เวลาอับจนท้อแม้สิ้นหวังก็ไม่มีอะไรมาช่วยได้ ดังคำโบราณว่าไว้ว่า “ถ้าบุญไม่มาวาสนาไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนักที่รักก็หน่าย”
งานประจำปีวัดมัชฌันติการาม วงศ์สว่าง 11 บางซื่อ กรุงเทพมหานคร ยังคงมีติดต่อกันไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 อันเป็นวันมาฆบูชาและวันวาเลนไทน์ ใครที่ยังไม่ได้มาเที่ยวงาน หาก ว่างก็ขอเชิญ มาพักกาย มาผ่อนคลายจิต คนจิตใจดีมีบุญนั้นมองไปข้างหน้าก็มีหวัง มองข้างหลังก็มีความสุข
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
11/02/57