พระพุทธศาสนาถือกำเนิดขึ้นในชมพูทวีป ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอินเดีย เนปาล บังคลาเทศ เป็นต้น พระพุทธเจ้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนกระทั่งมีองค์กรที่เรียกว่าคณะสงฆ์เป็นผู้บริหารโดยใช้หลักการสำคัญคือธรรมวินัย พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ในสังคมอินเดียเป็นเวลาประมาณหนึ่งพันเจ็ดร้อยปี และได้หายสาบสูญไปจากอินเดียเป็นเวลากว่าเจ็ดร้อยปี พึ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยอนาคาริกธรรมปาละประมาณปีพุทธศักราช 2434 จากนั้นเป็นต้นมาพระพุทธศาสนาก็ได้ย้อนกลับยังถิ่นมาตุภูมิอีกครั้ง
ในช่วงปีพุทธศักราช 2400 ชาวอินเดียเจ้าของประเทศอันเป็นถิ่นกำเนิดของพระพุทธศาสนา ยังคงสับสนทางความคิดเพราะอิทธิพลของฮินดูครอบงำคนอินเดียมายาวนานหลายพันปี พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในชมพูทวีปเป็นช่วงระยะเวลาติดต่อกัน 1,700 ปี และหายไปเป็นช่วงเวลาถึง 700 ปีไม่เหมือนกับฮินดูที่คงอยู่คู่กับชาวอินเดียมาเป็นเวลานาน แม้จะเสื่อมไปก็เป็นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ในวิถีชีวิตของคนอินเดียยังคงเป็นฮินดูอยู่นั่นเอง เหมือนในอดีตแม้พระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้น แต่ก็อยู่ภายใต้ร่มเงาของฮินดู จนมีนักปราชญ์อินเดียบางท่านถึงกับกล่าวว่า “พระพุทธศาสนาคือฮินดูนิกายหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็คืออวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์นั่นเอง” นับเป็นการสรุปที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งเหมือนที่ครั้งหนึ่งในประเทศไทยที่เคยมีนักวิชาการท่านหนึ่งสรุปในงานวิจัยว่า “พระพุทธเจ้าคือปกาศกของพระผู้เป็นเจ้า” ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริงพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ปฏิเสธพระเจ้าจัดอยู่ในกลุ่มนาสติกะ คือศาสนาที่ไม่ยอมรับว่ามีพระผู้เป็นเจ้าในปรัชญาอินเดีย แล้วพระพุทธเจ้าจะกลายเป็นอวตารของพระนารายณ์และปกาศกของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร
ในยุคของการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในยุคใหม่ การขุดค้นทางโบราณยังคงดำเนินต่อไป และยังคงพบชิ้นส่วนและซากที่สำคัญ ๆ ทางพระพุทธศาสนาเรื่อยมา จนกระทั่งการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่เป็นระบบเริ่มต้นขึ้นเมื่อท่านอนาคาริก ธรรมปาละ พุทธศาสนิกหนุ่มชาวสิงหล ได้อ่านบทความที่เซอร์ เอ็ดวิน อาร์โนลด์ เขียนไว้เกี่ยวกับการที่พุทธสถานที่สารนารถถูกปล่อยปะละเลย ในหนังสือพิมพ์ เทเลกราฟ อนาคาริกธรรมปาละจึงตัดสินใจเดินทางไปที่สารนารถและพุทธคยาในเดือนมกราคม 2434 เพื่อให้เห็นด้วยตาตนเอง พลันที่อนาคาริกมาถึงพุทธคยาทำให้เขาต้องตกตะลึงที่เห็นสภาพสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าถูกยึดครองและอยู่ในกรรมสิทธิ์ของฮินดูนิกายมหันต์ รูปเคารพ และสิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนาถูกฮินดูทำลาย และจัดการตามใจชอบโดยไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่ควรหรือไม่ควร
อนาคาริกธรรมปาละจึงตัดสินใจที่จะเรียกร้องกรรมสิทธิ์พุทธคยาคืนมาจากฮินดู ในการดำเนินการนี้ท่านต้องเดินทางเพื่อแสวงหาความร่วมมือจากพระภิกษุจากหลายประเทศเช่นลังกา พม่า ไทย และญี่ปุ่น ในที่สุดก็สามารถก่อตั้งมหาโพธิสมาคมแห่งอินเดียขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม 2434 ได้นิมนต์พระสงฆ์จากศรีลังกา 4 รูปจำพรรษาที่พุทธคยาอีกด้วย
วันที่ 31 ตุลาคม 2434 อนาคาริกธรรมปาละยังได้ดำเนินการเพื่อจัดประชุมพระพุทธศาสนานานาชาติขึ้น โดยมีตัวแทนจากศรีลังกา จีน ญี่ปุ่น และเบงกอล เข้าร่วมประชุม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นที่อินเดีย ดินแดนอันเป็นถิ่นกำเนิดของพระพุทธศาสนา ในปีเดียวกันนั่นเอง(2434) พระกฤษปาสรัน มหาสถวีระ ภิกษุชาวเบงกอล ได้ก่อตั้งพุทธสมาคมขึ้นที่เบงกอล ในปีนั้นยังค้นพบโกศบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าในรัฐอันตรประเทศ โดยนายเรีย แอต ปัตติโปรลู
นอกจากนั้นพระมหาวีระพระภิกษุรูปแรกชาวอินเดียที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุในยุคแห่งการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาได้สร้างวัดขึ้นที่กุสินารา(ปัจจุบันเรียกชื่อเป็นกุสินาการ์) สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งเวลานั้นยังเป็นป่ารกชัฏ ประชาชนไม่กล้าเข้าไป เพราะเกรงกลัวต่ออันตราย แต่เมื่อพระมหาวีระสร้างวัดขึ้น ประชาชนจึงได้เดินทางเข้าไปยังกุสินาการ์เพื่อสักการะบูชาและระลึกถึงสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
ในปี พ.ศ. 2435 มหาโพธิสมาคมได้ย้ายที่ทำการไปที่เมืองกัลกัตตา อนาคาริกธรรมปาละได้ออกวารสารมหาโพธิ เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของมหาโพธิสมาคมและเผยแพร่คำสอนของพระพุทธศาสนาไปทั่วโลก ในปีเดียวกันนั่นเองนักวิชาการชาวอินเดียจึงจึงได้ก่อตั้งสมาคมปาลีปกรณ์ขึ้นที่เมืองกัลกัตตา เพื่อจัดพิมพ์ตำราทางพระพุทธศาสนาเป็นภาษาของชาวอินเดีย (อินเดียมีภาษาพูดประมาณ 1,625 ภาษา ใน 25 รัฐ ภาษาที่สำคัญ ๆ ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ 18 ภาษา มีภาษาฮินดีและอังกฤษเป็นภาษาราชการ ไม่มีศาสนาประจำชาติ มีประชากรประมาณ 900 ล้านคน ในปีพ.ศ.2539 (ปัจจุบัน 2543 เพิ่มจำนวนเป็น 1,000 ล้านคนแล้ว) ร้อยละ 80 นับถือศาสนาฮินดู ร้อยละ 10 นับถือศาสนาอิสลาม ที่เหลืออีกร้อยละ 10 นับถือศาสนาอื่นๆเช่นสิกข์,ไชนะ,ปาร์ชีและพระพุทธศาสนา (อรุณ เฉตตีย์, อินเดียแผ่นดินมหัศจรรย์,โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2539 หน้า 12) ในการพิมพ์หนังสือเพื่อให้ชาวอินเดียอ่านจึงต้องพิมพ์เป็นหลายภาษาที่สำคัญๆคือภาษาฮินดี ภาษาเบงกลี ภาษาพราหมี เป็นต้น โดยผู้ที่ร่วมก่อตั้งประกอบด้วย ราเชนทรา ลาล มิตรา,หราประสาท ศาสตรี,สรัตจันทราทัสและสาธิตจันทรา วิทยาภูสาน
ปีพุทธศักราช 2436 ธรรมปาละได้เข้าร่วมประชุมในเมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา และได้พบสุภาพสตรีผู้เลื่อมใสพระพุทธศาสนาท่านหนึ่งคือนางแมรี่ ฟอสเตอร์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาโดยบริจาคเงินให้สมาคมเป็นจำนวนมาก
ในปี 2439 พูห์เลอร์ ได้พบเสาหินพระเจ้าอโศกที่ลุมพินี(รุมมินเดย์) พบถ้อยคำจารึกมีใจความว่า “พระพุทธเจ้าศักยมุนีประสูติที่นี้” สองปีต่อมา พ.ศ. 2441 ได้พบโกศบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในสวนลุมพินีมีคำจารึกไว้ว่า “โกศบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าแห่ง สกุลศากยะ”
วิหารแห่งแรกในอินเดียที่สร้างขึ้นในยุคแห่งการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาสมัยใหม่อยู่ที่กุสินาการ์ (กุสินารา) สร้างในปี พ.ศ. 2445 โดยการนำของพระมหาวีระสวามี นอกจากนั้นยังได้สร้างธัมมันกุรวิหารที่กัลกัตตา ซึ่งต่อมาได้ใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของพุทธสมาคมที่เบงกอล
ส่วนวิหารแห่งแรกที่พุทธสมาคมสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2463 คือศรีธัมมราชิกวิหารที่เมืองกัลกัตตา โดยมีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าค้นพบที่ปัตติโปรลูในอันตรประเทศบรรจุไว้ด้วย และศรีธัมมราชิกวิหารนี้เป็นสำนักงานใหญ่ของพุทธสมาคม เพื่อดำเนินการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย
เป็นอันว่าช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีที่อนาคาริกธรรมปาละ เดินทางเข้ามาอินเดีย ได้เริ่มต้นปลุกกระตุ้นความสนใจของชาวอินเดียต่อพระพุทธเจ้าศาสนา โดยใช้นโยบายป่าล้อมเมืองคือประกาศอุดมการณ์ในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาต่อนานาชาติ ทั้งประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาและประเทศที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาแต่ให้ความสนใจในหลักปรัชญาของพระพุทธศาสนา จนในที่สุดชาวอินเดียเอง ก็เริ่มให้ความสนใจในการศึกษาหลักการของพระพุทธศาสนา โดยมีชาวอินเดียเข้ามาอุปสมบทเป็นพระภิกษุหลายรูปที่มีบทบาทสำคัญคือพระมหาวีระสวามี,พระโพธินันทะ พ.ศ.2457ทำการอุปสมบทบนเรือกลางแม่น้ำคงคา ใกล้เมือกัลกัตตา เพราะขณะนั้นอินเดียยังไม่มีการสมมุติสีมาอุโบสถขึ้นเลย มีพระภิกษุเข้าร่วมในพิธีอุปสมบทครั้งจากพม่า ศรีลังกา และจิตตกอง (ปัจจุบันเป็นเมืองๆ หนึ่งในประเทศบังคลาเทศ) ท่านอนาคาริกธรรมปาละก็ได้เข้าร่วมในพิธีกรรมครั้งสำคัญนี้ด้วย
เมื่ออุปสมบทเสร็จ พระโพธินันทะ ได้เดินทางไปยังลัคเนาว์ได้ก่อตั้งพุทธสมาคมแห่งอินเดียขึ้น เพื่อดำเนินการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับคืนมาสู่อินเดียอันเป็นถิ่นกำเนิดอีกครั้ง ที่ลัคเนาว์ได้มีชาวอินเดียเข้ามาอุปสมบทอีกเป็นจำนวนมาก ผลงานของพระโพธินันทะทำให้ชาวอินเดียส่วนหนึ่งได้หันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาอีกครั้ง พระมหาวีระและพระโพธินันทะพระภิกษุชาวอินเดียทั้ง 2 รูป นับว่ามีบทบาทสำคัญสำหรับการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา เพราะความที่เป็นชาวอินเดีย ย่อมสามารถชักจูงชาวอินเดียได้ง่ายขึ้น
เราไม่อาจจะยืนยันได้ว่าพระพุทธศาสนาที่ได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งนี้จะเป็นพระพุทธศาสนานิกายอะไร แต่ที่เริ่มต้นขึ้นจริงๆโดยอนาคาริกธรรมปาละนั้น เป็นนิกายจากศรีลังกา และพม่า ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
สิ่งที่สูญหายไปเกือบ 700 ปี เมื่อหวลกลับมามีบทบาทอีกครั้งย่อมมีความแตกต่างจากอดีตเป็นธรรมดา ส่วนพระพุทธศาสนาที่เจริญนอกถิ่นอินเดีย ก็ได้ให้ความสนใจในอุบัติการณ์นี้ด้วย ประเทศไทยอยู่ในยุคสมัยรัตนโกสินทร์แล้ว (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสถาปนากรุงเทพเป็นเมืองหลวง เมื่อปีพุทธศักราช 2325) อนาคาริกธรรมปาละเดินทางไปอินเดียเมื่อปี พ.ศ. 2434 และเริ่มดำเนินการเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่เป็นระบบภายใต้การดำเนินการในรูปของสมาคม ดังนั้นคำว่าพุทธสมาคม จึงเป็นวิธีดำเนินการที่สามารถนำมาใช้ได้ในยุคสมัยที่อินเดียไม่มีพระภิกษุเหลืออยู่เลย เพราะสมาคมเป็นการรวมตัวของคณะบุคคลที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ไม่ได้แยกว่าเป็นพระภิกษุหรือฆราวาส
จากวันที่โพธิสมาคมก่อตั้งมาจนถึงวันนี้เป็นเวลา 109 ปีแล้ว ภายใต้การริเริ่มของท่านอนาคาริกธรรมปาละ พระพุทธศาสนาที่ถูกลืมก็ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ต้องขอบคุณท่านอนาคาริกธรรมปาละอย่างยิ่งที่เสียสละชีวิตทั้งชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่ทำตัวเหมือนพระภิกษุ (ตำราบางเล่มบอกว่าท่านอุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อ พ.ศ. 2474 ) 2 ปีก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตในปี 2476 ปล่อยภาระหน้าที่ที่ยังต้องดำเนินการต่อไปให้ภิกษุในยุคต่อมาดำเนินการ
อุดมการณ์ของอนาคาริกธรรมปาละ จึงเป็นการจุดประกายแห่งการตื่นตัวของชาวพุทธ เพราะเมื่อมหาโพธิสมาคมเริ่มก่อตั้งขึ้น ก็ได้มีสมาคมและพุทธวิหารเกิดขึ้นในหลายส่วนของประเทศเช่นมหาโพธิสมาคมที่เมืองเดลี เมืองหลวงของอินเดีย(2482),เทวสังฆปาณีวิหาร ที่เมืองอัสสัม(2482),พุทธวิหารที่เมืองบังการ์ลอร์ (2483),เวฬุวันวิหาร อการตาลา (2489),มัทราทวิหาร (2490),พุทธสมาคมแห่งลาดักส์ (2480)พุทธสมาคมแห่งอัสสัม (2482),พุทธสมาคมแห่งหิมาลัย (2485)
พุทธสมาคมเหล่านี้บริหารงานในรูปแบบของคณะกรรมการ แม้แต่มาหาโพธิพุทธสมาคมก็มีคณะกรรมการที่เป็นชาวพุทธและฮินดูคนละครึ่ง บางครั้งการลงมติที่ต้องอาศัยเสียงส่วนมากจึงมักจะมีปัญหา หากการดำเนินการนั้นไปกระทบกับความเชื่อของชาวฮินดูเข้า
จากยุคแห่งการขุดค้นสถูปวิหารเจดีย์ของชาวตะวันตกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2293 เป็นต้นมา จนถึงยุคแห่งการก่อตั้งพุทธสมาคมและการสร้างวิหารเริ่มต้นในปี พ.ศ.2434 พระพุทธศาสนาที่ถูกลืมเลือนไปเป็นเวลายาวนานเกือบ 700 ปี ก็ได้กลับฟื้นคืนมายังมาตุภูมิอีกครั้ง โดยแรงผลักดันของท่านอนาคาริกธรรมปาละ ชาวศรีลังกา และเป็นที่น่าปีติอย่างยิ่งคือได้มีชาวอินเดียอุปสมบทเป็นพระภิกษุมากขึ้น และมีการสร้างวัด อาราม และวิหารเกือบทั่วประเทศอินเดีย
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
เรียบเรียง
พิมพ์เผยแผ่ครั้งแรกในวารสาร "ปัญญา"
แก้ไขเพิ่มเติม 07/04/53
หนังสืออ้างอิง
D.C. Ahir, Buddhism in Modern India, Sri Satguru Publications,Delhi,1991.
Sukumar Dutt, Buddhist Monks and Monasteries of India, Motilal Banasidass,Delhi,1998.
อรุณ เฉตตีย์, อินเดียแผ่นดินมหัศจรรย์,โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2539.